ต อ น ที่ 1
ฆาตกร
ร่างบางทรุดลงกองกับพื้นด้วยความอ่อนแรงทันทีที่บานประตูถูกปิดลง สายตาดุดันที่ชายหนุ่มจ้องมองมาที่เธอยังติดตาเธอเป็นอย่างดี แต่ทางที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือการลืมทุกอย่าง และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดได้ดังนั้น ดาร์เลเน่ก็รีบลุกขึ้นเดินไปหมายจะปิดประตูระเบียง แต่ก็เห็นชายหนุ่มคนเดิมมองมาที่ห้องของเธอในขณะที่ตัวเขากำลังนั่งอยู่ในรถยุโรปคันหรู ทำให้เธอต้องรีบปิดประตูด้วยความตื่นตระหนก
“เราไม่ได้เป็นแบบที่เขาสงสัยนี่นาจะกลัวไปทำไม เขาไม่กลับมาหรอก” ดาร์เลเน่พึมพำกับตัวเอง เมื่อนึกไปถึงประโยคที่ชายหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้
หลายวันต่อมา
“เลเน่ไปกินข้าวด้วยกันไหม” เพื่อนสาวในชั้นเรียนของดาร์เลเน่เอ่ยชวนขณะที่กำลังเก็บของไปทานอาหารกลางวันกัน
“ไม่เป็นไรพวกเธอไปเถอะ ขอบใจมากนะ” ดาร์เลเน่ตอบปฏิเสธเหมือนอย่างเคย ทำให้เพื่อนสาวทยอยเดินออกจากห้องไปไม่ได้เซ้าซี้อะไร ดาร์เลเน่
จึงเก็บของเดินไปนั่งกินแซนด์วิชกับนมรสช็อกโกแลตรสโปรดที่มุมตึกลับๆ หลังมหาวิทยาลัยที่ประจำของเธอ ที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปผ่านมา
ริมฝีปากบางที่กำลังจะกัดแซนด์วิชเข้าปากหยุดชะงักลง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่งเดินมา เธอเตรียมที่จะเก็บของย้ายไปนั่งทานที่อื่น แต่ขาก็ก้าวไม่ออก เมื่อได้ยินเสียงรุมกระทืบดังขึ้น มือเรียวยกขึ้นปิดปากด้วยความหวาดกลัว ไม่นานเสียงนั้นก็เงียบหายไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ไกลออกไป เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เธอจึงค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดูด้วยความ
ระมัดระวัง ก่อนจะเจอกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกลนัก
ดาร์เลเน่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าไปช่วยเหลือ
“คุณ” ดาร์เลเน่มองร่างเด็กหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะช่วยประคองร่างกายอ่อนแรงของเขาให้ลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก “ไปห้องพยาบาลกันก่อนไหม”
“ไม่” เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็ง ทำให้ดาร์เลเน่นึกย้อนไปถึงชายหนุ่มในวันนั้น ที่เขาเองก็ปฏิเสธที่จะไปโรงพยาบาลในตอนแรก
“แต่สภาพแบบนี้ไม่ไปหาหมอคุณจะไหวเหรอ”
“เธอเป็นใคร” ชายหนุ่มถามขณะที่พยายามลืมตามองไปด้วย
“ฉัน...” ดาร์เลเน่ไม่รู้ว่าเธอควรจะตอบอะไรกลับไป ทำไมผู้คนที่นี่ถึงเอาแต่ถามคำถามแปลกๆ ทำตัวแปลกๆ กันเต็มไปหมด “ฉันเป็นนักศึกษาที่นี่ คุณก็น่าจะเป็นนักศึกษาที่นี่ใช่ไหม”
“ใช่ งั้นฉันขอเตือนเธอเอาไว้ ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ อย่ายุ่งอะไรไม่เข้าเรื่อง เพราะที่นี่มันไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยสำหรับเธอ”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“เห็นคนเจ็บก็ห้ามช่วย เห็นคนตายก็ห้ามเข้ามายุ่ง นั่นคือกฎลับของเมืองนี้ ฉันบอกเพราะเธอช่วยฉันไว้หรอกนะ แต่ถ้าคราวหลังเจอกันก็อย่าทำเป็นรู้จักฉัน ทางที่ดี...เธอควรลืมเรื่องวันนี้ไปซะ” เด็กหนุ่มบอก ก่อนจะปัดมือเรียวที่ประคองร่างโชกเลือดของเขาเอาไว้ออก แล้วพยายามปีนออกไปทางรั้วมหาวิทยาลัยทางด้านหลัง
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย” ดาร์เลเน่มองชุดไปรเวตที่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยคราบเลือดของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ ก่อนจะถอนหายใจ และกลับไปนั่งหลบอยู่ในมุมลับสายตาคนที่เดิม เพราะชุดเปื้อนเลือดอย่างนี้ถ้าเธอกลับไปเรียนคาบบ่ายคงจะได้มีคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ และเธอเองก็ไม่อยากอธิบายเรื่องอะไรพวกนี้ เพราะเธอก็ยังแทบปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ดาร์เลเน่มองดูนาฬิกาที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว นักศึกษาส่วนใหญ่คงทยอยกันกลับไปเข้าเรียนกันแล้ว เธอจึงตัดสินใจเก็บของเดินออกไปจากมหาวิทยาลัย
“ทำไงกับเสื้อผ้าดีนะ” ดาร์เลเน่พึมพำพลางใช้ความคิดขณะเดินอยู่บนทางเท้า เพราะดูเหมือนว่าชุดที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือดจะทำให้เธอดูเด่นเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าถามหรือพูดอะไร ดาร์เลเน่ตัดสินใจเดินไปทางลัดที่ลับตาคนแทนการใช้เส้นทางปกติ เพราะทางค่อนข้างเปลี่ยว และไม่มีผู้คน นานๆ ทีเธอถึงจะเดินเส้นทางนั้น แต่วันนี้เธอคงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่านี้แล้ว
ดาร์เลเน่ใช้ระยะเวลาประมาณสิบนาทีในการเดินทางจากมหาวิทยาลัยมาที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง เพราะเธอเลือกที่อยู่ที่ไม่ไกลมหาวิทยาลัยนัก จะได้เดินทางไปเรียนสะดวก
ดาร์เลเน่ที่กำลังจะเดินเข้าอะพาร์ตเมนต์หยุดยืนมองผู้คนที่ยืนมุงอยู่หน้าอะพาร์ตเมนต์เธอด้วยความสงสัย ก่อนจะรีบเดินเข้าไปดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น และได้พบกับเจ้าหน้าที่ที่กำลังขนศพออกมาพอดี มือเรียวยกขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่พูดกับตำรวจว่าศพนี้ตายมาได้หลายวันแล้ว...หรือจะเป็นวันเดียวกับที่เธอเจอผู้ชายคนนั้น
หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำด้วยความหวาดกลัว หากใช่แบบที่เธอคิดจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับฆาตกรอย่างนั้นเหรอ ไหนจะเรื่องที่เด็กหนุ่มคนนั้นบอกเธออีก ร่างบางหันหลังเดินหนีออกมาจากฝูงชนเพราะเริ่มรู้สึกอึดอัดจากโรคส่วนตัวของเธอ ที่ไม่สามารถอยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะๆ ได้นาน ร่างบางทิ้งตัวนั่งลงบนทางเท้าตรงข้ามกับอะพาร์ตเมนต์ของเธอที่มีคนยืนมุงอยู่ด้วยความสับสน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดทบทวนอะไรก็มีรถขับมาจอดบังหน้าเธอ
“คุณ!” ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตกใจ เมื่อคนในรถลดกระจกลงทำให้เธอมองเห็นครึ่งใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง แต่ถึงจะเห็นแค่เพียงครึ่งหน้าเธอก็ยังคงจำแววตาดุดันนั้นได้ไม่เคยลืม มันเหมือนกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอ
“เจอกันอีกแล้วนะ” คนในรถเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
คนตัวเล็กรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับถอยหลังออกห่างจากตัวรถด้วยความหวาดระแวง เมื่อไม่มีอะไรที่เธอจะต้องพูดกับเขาเธอจึงเลือกที่จะเดินหนีไป
อีกทางหนึ่ง แต่ขาเรียวกลับก้าวไม่ออก เมื่อได้ยินประโยคถัดมาของชายหนุ่ม
“คราบเลือดบนตัวเธอเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ”
“...” ใบหน้าหวานก้มลงมองคราบเลือดบนเสื้อผ้าของเธอ พร้อมกับกำมันแน่นด้วยความอึดอัด
“ดาร์เลเน่”
“คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่ ถึงแม้ประวัติของเธอจะดูไม่ได้ข้องเกี่ยว
กับเรื่องของฉันสักเท่าไหร่ แต่ประวัติของเธอก็น่าสนใจดี”
“คุณต้องการอะไร” ดาร์เลเน่ถามเสียงแข็ง เธอมักจะสูญเสียการควบคุมทุกครั้ง เมื่อมีคนพยายามพูดถึงอดีตของเธอที่เธอไม่ต้องการให้ถูกพูดถึง
“เปล่า ฉันแค่แวะมาดูผลงานของตัวเอง” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับตวัดสายตามองไปยังรถพยาบาลที่เคลื่อนย้ายศพออกไป
“ฝีมือคุณจริงๆ ด้วย”
“ไปแจ้งตำรวจสิ แต่เธอเองก็คงรู้ดีสินะ ว่าตำรวจพวกนั้นทำอะไรกับคนที่มีอำนาจ มีเม็ดเงินเหนือพวกมันไม่ได้หรอก”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณไปรู้เรื่องราวของฉันมามากมายแค่ไหน แต่ฉันไม่ต้องการให้คุณมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันอีก และฉันก็จะทำเป็นไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน เพราะฉะนั้นโปรดหยุดคุกคามชีวิตส่วนตัวฉันได้แล้วค่ะ” ดาร์เลเน่
บอกด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากปกติ
“งั้นเธอก็หนีฉันให้พ้นสิ เจอฉันที่ไหนก็แค่หลบให้มิด อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก”
ดาร์เลเน่กลับมาที่ห้องพักของตัวเองหลังจากที่เจ้าหน้าที่ทยอยกลับ
ไปหมดแล้ว เธอใช้เวลานั่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยความสับสน รวมไปถึงคำพูดของผู้ชายที่โดนรุมกระทืบเมื่อตอนกลางวันที่บอกอะไรบางอย่างแปลกๆ กับเธอมา
“หรือว่าเมืองนี้มันมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่นะ” ดาร์เลเน่พึมพำ ก่อนจะรีบเปิดแล็ปท็อปของตัวเองค้นหาข้อมูลของเมืองที่เธออยู่ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ นอกจากขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีประชากรน้อย และสงบที่สุดแห่งหนึ่ง หรือบางทีเธออาจจะแค่คิดมาก และวิตกกังวลไปเอง เพราะก่อนหน้านี้เธอก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ปกติไม่ได้มีเหตุการณ์แปลกๆ อะไร จนกระทั่ง...เธอได้มาเจอกับชายคนนั้น
ใบหน้าหวานหันมองไปรอบๆ ห้องด้วยความหวาดระแวง เพียงแค่
นึกถึงแววตาดุดันคู่นั้นเธอก็รู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา ร่างบางเดินลุกไปปิดม่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อเช้าเธอไม่ได้เปิดม่านเอาไว้...แสดงว่ามีคนเข้ามาในห้องเธออย่างนั้นเหรอ
ดาร์เลเน่รีบปิดผ้าม่านก่อนจะเดินกลับเข้ามายืนกลางห้องพร้อมกับเริ่มมองไปรอบๆ ด้วยสายตาหวาดระแวงอีกครั้ง ร่างบางเริ่มเดินไปรื้อสิ่งของในห้องราวกับคนเสียสติ เพราะภาพเหตุการณ์ในอดีตเริ่มหวนคืนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง
ทางด้านครูส
มาเฟียหนุ่มนั่งมองภาพเคลื่อนไหวของหญิงสาวอยู่กลางห้องด้วยสายตาราบเรียบ ขณะที่กำลังนั่งจิบแก้วเหล้าราคาแพงในมือของเขาไปด้วยท่าทางสบายใจ
“ดาร์เลเน่ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเธอเป็นแบบในประวัติของเธอที่ฉันได้มารึเปล่า” มาเฟียหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ในขณะที่ภาพการเคลื่อนไหวของหญิงสาวบนหน้าจอเริ่มรุนแรงขึ้น คล้ายกับคนเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ร่างบางจะทิ้งตัวลงกองกับพื้นด้วยท่าทางหวาดผวา เขาจึงได้กล่าวคำทักทายลงไปหาคนที่อยู่ในจอด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นไร้ซึ่งความเป็นมิตร “ไง กำลังมองหาฉันอยู่เหรอ”
“คุณ!” ดาร์เลเน่มองไปรอบๆ ห้องด้วยท่าทางหวาดผวา เมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นภายในห้องพักของเธอ “คุณเป็นใคร ต้องการอะไรจากฉันกันแน่” หญิงสาวถามออกไปโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงนั้นดังมาจาก ไหน แต่เธอก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังเฝ้ามองเธออยู่จากที่ใดที่หนึ่งภายในห้องแห่งนี้
“ประวัติของเธอบอกว่าเธอเคยเข้ารักษาตัวด้วยอาการทางจิตชนิดรุนแรงถึงขั้นที่ต้องตัดขาดจากสังคมภายนอกเพราะอาการวิตกกังวลเกือบปี เนื่องจากเคยถูกเพื่อนผู้หญิงที่อิจฉาในหน้าตาของเธอแอบตั้งกล้องถ่ายคลิปเธอตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าในชั่วโมงพละที่โรงเรียน แล้วเอาคลิปไปขายต่อให้กับเด็กผู้ชายในโรงเรียน หลังจากนั้นเธอก็ตกเป็นเป้าสายตาของเด็กในโรงเรียน พอมารู้ตัวว่าคลิปนั้นหลุดออกไปเธอก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่กลับไปที่โรงเรียนอีกเลย และเด็กผู้หญิงที่ทำกับเธอแบบนั้นก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรได้ เพราะว่าเป็นลูกของคนใหญ่คนโต โลกของเธอก็เลยเปลี่ยนไปกลายเป็นโลกที่มืดมนไม่ยุติธรรม ผู้คนในสังคมกลายเป็นบุคคลที่น่ากลัวสำหรับเธอ เพราะไม่มีใครคิดจะเตือนเธอเรื่องคลิปหลุดพวกนั้น แต่กลับเอาเธอไปนินทาลับหลังกันจนสนุกปาก”
ดาร์เลเน่นิ่งเงียบไป สิ่งที่ชายหนุ่มพรั่งพรูออกมา ทุกอย่างที่เขาเล่ามาคือเรื่องจริงที่เธอพยายามลบเลือนมาโดยตลอด แต่มันก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจของเธอ เนื้อตัวเริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ผู้ชายคนนั้นอันตรายกว่าที่เธอคิด และตอนนี้เขาก็กำลังคุกคามชีวิตของเธอเหมือนที่เด็กนักเรียนพวกนั้นเคยทำกับเธอ
“เธอรู้ไหมว่าเด็กผู้ชายที่เธอช่วยชีวิตไว้เมื่อตอนกลางวันมันเป็นใคร”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“มันเป็นลูกชายของคนที่ฉันพึ่งฆ่าไปที่หอเธอไง พ่อมันเป็นนักฆ่าที่ฝีมือดีคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะสามารถมาล้วงความลับสำคัญของฉันไปได้ ฉันถึงต้องตามไปเก็บมันด้วยตัวเอง แต่ว่าก็ช้าเกินไป เพราะมันส่งต่อความลับนั้นไปให้ลูกชายของมันแทน และเธอรู้ไหมว่าตอนนี้ความลับนั้นไม่ได้อยู่ที่เด็กคนนั้นแล้ว”
“...”
“แต่มันอยู่กับเธอ”
“ฉันไม่เข้าใจ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณทั้งนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณชื่ออะไร!” ดาร์เลเน่ตะโกนตอบกลับด้วยความรู้สึกโกรธที่เขาทำเหมือนเธอเป็นคนผิด ทั้งๆ ที่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย หนำซ้ำยังคุกคามเธออีกด้วย
“ลองล้วงในกระเป๋ากางเกงเธอดูสิ”
ดาร์เลเน่ยื่นมือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองจริงๆ ก่อนจะเจอแฟลชไดรฟ์อันหนึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอตามที่เขาบอก
“ฉะ...ฉันไม่รู้ว่าอันนี้มันมาอยู่กับฉันได้ยังไง” ดาร์เลเน่รีบตอบปฏิเสธทันควัน เพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะเข้าใจผิด และเอาเธอเข้าไปเกี่ยวโยงกับเรื่องวุ่นวายของเขาอีก
“บังเอิญดีนะ ที่จู่ๆ เธอก็เข้ามาข้องเกี่ยวกับชีวิตฉันแทบจะทุกสถานการณ์”
“ฉันสาบานว่าฉันไม่รู้จริงๆ”
“พรุ่งนี้ฉันจะไปเอาแฟลชไดรฟ์นั่น เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี แล้วก็อย่าคิดที่จะหนี เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก”
ดาร์เลเน่พยายามมองหากล้องที่ซ่อนอยู่หลังจากที่น้ำเสียงของอีกฝ่ายเงียบหายไป แต่นั่นก็ทำให้เธอหวาดระแวงตลอดทั้งคืน เพราะไม่ว่าจะพยายามหาแค่ไหนเธอก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติในห้องของเธอเลย นั่นหมายความว่าตอนนี้เขาอาจจะกำลังมองดูเธออยู่ก็ได้ ดาร์เลเน่กลับมานั่งสงบสติอารมณ์พร้อมกับนั่งจ้องมองแฟลชไดรฟ์เจ้าปัญหาในมือเธออย่างหัวเสีย ตอนนี้เธอรู้แค่ว่าเธอคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้ว แต่เธอจะหนีไปยังไง...หนียังไงให้พ้นสายตาของเขา