ต อ น ที่ 2
สองทางเลือก?
ร่างบางนั่งกัดเล็บตัวเองจนเลือดซิบ พลางมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีสามกว่าแล้ว เธอยังไม่ได้นอน และไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย แต่จะให้เธอหลับลงได้ยังไงในเมื่อเธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตอนนี้กำลังมีคนแอบมองเธออยู่หรือเปล่า แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถอดทนต่อไปได้จึงเลือกที่จะไปเก็บของใช้จำเป็น และเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋าเป้สะพายหลังเตรียมที่จะออกไปจากที่นี่เพื่อไปตายเอาดาบหน้า แต่เธอก็พบเรื่องที่น่าตกใจอีกครั้ง เมื่อพาสปอร์ตที่ควรจะอยู่ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือหายไป พร้อมกับเอกสารสำคัญของเธอ หญิงสาวยืนตัวสั่นอยู่กลางห้องพักราวกับคนเสียสติ เธอไม่รู้ว่าควรจะหาทางออกให้กับเรื่องนี้ยังไงดี
“หายไปได้ยังไง มันต้องอยู่ตรงนี้สิ” ดาร์เลเน่พยายามปลอบใจตัวเองว่าเป็นเพราะเธอหาไม่ดีเองถึงหาพาสปอร์ตไม่เจอ แต่ไม่ว่าจะพยายามรื้อค้นมากแค่ไหน เธอก็ไม่เจออยู่ดี
แกร๊ก!
ร่างบางสะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูดังขึ้น เธอจึงรีบวิ่งไปซ่อนตัวภายในตู้เสื้อผ้าด้วยความตื่นตระหนก ขณะเดียวกันร่างของผู้มาเยือนก็กำลังก้าวเข้ามาภายในห้องอย่างเชื่องช้า ไม่ได้ดูเร่งรีบอะไร
“หึ” มาเฟียหนุ่มแค่นหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนเดินไปหยิบแฟลชไดรฟ์
ที่วางอยู่ที่พื้นมาเก็บใส่กระเป๋ากางเกงยีนของตัวเอง “ฉันแค่แวะมาเอาของ ส่วนเรื่องอดีตของเธอถ้าอยากให้ฉันช่วยจัดการสวะพวกนั้นก็บอกได้นะ เผื่อความแค้นในใจเธอจะได้เบาลง จะได้ไม่มีอาการคลุ้มคลั่งแบบนี้ ถือซะว่าแทนคำขอบคุณที่ช่วยเก็บความลับสำคัญฉันไว้ก็แล้วกัน”
มือเรียวยกขึ้นมาปิดปากแน่น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่หน้าตู้ที่เธอซ่อนตัวอยู่ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้ารูปไข่จนเปียกชุ่ม แต่นั่นไม่ใช่เพราะความร้อนภายในตู้ แต่เป็นเพราะความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจเธอในตอนนี้ต่างหาก
แอ๊ด~
“กรี๊ดดดดดดดด!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันที เมื่อบานตู้เสื้อผ้าถูกเปิดออก ก่อนที่แววตาสั่นระริกของเธอจะสบเข้ากับนัยน์ตาดุดันคู่นั้น ร่างบางถอยร่นหนีไปจนชิดติดผนังตู้เสื้อผ้าด้วยท่าทางหวาดผวา
“จะไม่ออกมาทักทายกันหน่อยเหรอ” ชายหนุ่มเอียงคอถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“...” คนตัวเล็กปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอะไรออกมา แม้กระทั่งหายใจตอนนี้ยังยากลำบากสำหรับเธอ
“ฉันชื่อครูส จำชื่อฉันไว้ให้ดีล่ะ”
“...” ดวงตาสั่นระริกเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชายหนุ่มยื่นมือมาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าเธอเบาๆ แต่สัมผัสพวกนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ
“กลัวฉันเหรอ”
“...”
“รู้ไหมว่าถ้าคนอื่นมาเห็นคงจะบอกว่าฉันใจดีกับเธอมากนะ”
“ฮึก!” หยดน้ำตาหยดแรกไหลลงมาเมื่อไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
“ฉันบอกให้เธอหลบฉันให้พ้น แต่เธอก็พยายามเอาตัวเองเข้ามา
ข้องเกี่ยวกับเรื่องของฉันอยู่เรื่อยเลยนะ”
“...”
“การปิดปากไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ การที่เธอหนีมาที่นี่แล้วปล่อยให้คนที่มันทำให้ชีวิตเธอเป็นแบบนี้ลอยนวลก็นับว่าเป็นการกระทำที่สิ้นคิดเหมือนกัน”
“...”
“อยากให้ฉันช่วยไหมล่ะ”
“ฮึก” คนตัวเล็กส่ายหน้าทั้งน้ำตา เธอไม่ต้องการที่จะข้องเกี่ยวใดๆ กับเขาอีก
“แล้วกระเป๋าเสื้อผ้านั่นอะไร คิดจะหนีฉันเหรอ”
“...”
“คิดจะหนีฉัน ทั้งๆ ที่ฉันบอกให้เธอรอ? นั่นก็เป็นอีกหนึ่งการกระทำที่สิ้นคิดของเธออีกอย่างหนึ่งนะ” มือหนาเลื่อนขึ้นไปลูบไล้เรือนแก้มเปื้อนน้ำตาของหญิงสาวอย่างเชื่องช้า ก่อนจะออกแรงบีบปลายคางมนเบาๆ “เธอไม่มีทางหนีฉันพ้น ถ้าฉันไม่อนุญาตให้เธอไป”
“ฉะ...ฉันทำอะไรผิดนักหนาเหรอ ทำไมคุณต้องตามรังควานฉันด้วย”
“รังควาน? ฟังดูหยาบคายไปหน่อยนะ” มาเฟียหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก เมื่อในที่สุดดาร์เลเน่ก็ยอมปริปากพูดออกมา
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น แฟลชไดรฟ์คุณ ฉันยังไม่ได้เปิดดูด้วยซ้ำ มันวางอยู่กลางห้องคุณเอากลับไปได้เลย” คนตัวเล็กบอกด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ
“อดีตของเธอไม่ได้สอนอะไรเธอเลยเหรอ”
“เลิกพูดถึงอดีตของฉันสักทีได้ไหม” ดาร์เลเน่พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ปะทุขึ้นมาในตอนนี้
“ทำไมฉันถึงพูดไม่ได้ล่ะ สิ่งที่เธอควรทำคือการเผชิญหน้า และลุกขึ้นสู้ไม่ใช่หนีมาแบบนี้ เพราะการที่เธอหนีคนที่ทำร้ายเธอ ก็เท่ากับเธอยอมเป็นผู้ถูกกระทำ”
“คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่ คุณจะมาสนใจเรื่องของฉันทำไม”
“เพราะเธอน่าสนใจไง เด็กน้อย” มาเฟียหนุ่มระบายยิ้มมุมปากออกมา ก่อนจะคลายแรงบีบเลื่อนมือไปเช็ดคราบน้ำตาบนเรือนแก้มใสเบาๆ “ฉันมีทางเลือกให้เธอสองทาง”
“...” ดาร์เลเน่มองตามแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงกลับไปนั่งลงบนปลายเตียงด้วยท่าทางสุขุม
“หนึ่ง หนีปัญหาเหมือนที่เธอชอบทำ แต่ฉันมั่นใจว่าเธอไม่มีทางหนีฉันพ้น หรือสองเผชิญหน้ากับปัญหา โดยการมาอยู่กับฉัน”
“ฉันไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าปัญหาของฉันมันคืออะไร”
“ปัญหาคือตอนนี้ฉันสนใจเธอไงเด็กน้อย” มาเฟียหนุ่มยกคิ้วหนาขึ้น พร้อมกับยกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์
“ฉันไม่อยากเลือกอะไรทั้งนั้น ฉันอยากใช้ชีวิตของฉันเหมือนเดิม”
“โทษทีนะ พอดีฉันมีทางออกให้เธอแค่สองทาง ถ้าปฏิเสธฉันก็แค่หนีฉันให้พ้น”
“คุณเข้าห้องฉันได้ คุณรู้ว่าฉันทำอะไร อยู่ไหน คุณรู้แม้กระทั่งอดีตของฉัน แล้วจะให้ฉันหนีคุณได้ยังไง”
“เธอถึงต้องเลือกข้อสองไง”
“...” หยดน้ำตาใสๆ ไหลลงมาด้วยความอึดอัด สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเดินกลับไปในหนทางที่มืดมนอีกครั้ง เพราะเธอมองไม่เห็นทางออกของปัญหาในตอนนี้เลย
“ฉันไม่ชอบการตัดสินใจที่เชื่องช้านะ เพราะมันทำให้ฉันเสียเวลา ถ้าเธอไม่เดินตามฉันออกไปฉันจะถือว่าเธอเลือกข้อหนึ่งก็แล้วกัน แล้วฉันจะเป็นคนตามล่าเธอด้วยตัวเอง น่าสนุกดีว่าไหม”
“เดี๋ยวก่อน!” ดาร์เลเน่ตะโกนหยุดเรียวขายาวที่กำลังจะก้าวเดินออกจากห้องไป “ฉันต้องไปอยู่กับคุณในฐานะอะไร ฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง”
ดาร์เลเน่ถามออกไป เพื่อตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ เพราะตอนนี้คงไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้นอกจากตัวเธอเอง
มาเฟียหนุ่มหันหลังกลับมามองคนตัวเล็กที่ค่อยๆ คลานออกมาจากตู้เสื้อผ้าด้วยสายตาราบเรียบ และไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรกับคำถามของเธอ
“เธอยังสามารถใช้ชีวิตปกติของเธอได้ เพียงแต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน เธอสามารถไปเรียน และออกไปเที่ยวได้ แต่นั่นก็ต้องอยู่ภายใต้สายตาของฉันเหมือนกัน เธอจะได้ทุกอย่างที่เธอต้องการเพื่อแลกกับข้อตกลงที่เธอจะต้องทำตาม เห็นคนเจ็บก็ห้ามช่วย เห็นคนตายก็ห้ามเข้ามายุ่ง นั่นคือกฎของฉัน”
“...” ประโยคหลังของชายหนุ่มทำให้ดาร์เลเน่นึกถึงประโยคที่เด็กหนุ่มคนนั้นเคยบอกเธอเอาไว้ก่อนจะหนีไป “เมืองนี้คงไม่ได้สงบแบบที่ฉันคิดสินะ” ดาร์เลเน่ก้มหน้าพึมพำเบาๆ ชีวิตเธอตอนนี้รู้สึกสิ้นหวังจนไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา “งั้นฉันขอถามคุณคำถามหนึ่งได้ไหม”
“ว่ามา”
“คุณเป็นใครในเมืองนี้”
“อยากรู้เบื้องหน้า หรือเบื้องหลังล่ะ”
“ฉันอยากรู้ตัวตนของคุณ”
“หึ ถ้าเธอเลือกข้อสองอีกเดี๋ยวเธอก็จะได้รู้อยู่ดีว่าฉันเป็นใคร แต่ดูเหมือนฉันจะหลุดปากบอกเรื่องของตัวเองให้เธอไปเยอะเลยนะ สงสัยฉันคงจะปล่อยเธอไปไม่ได้แล้วสิ” มาเฟียหนุ่มส่งรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากให้คนตัวเล็กก่อนจะเดินออกไป
ร่างสูงใหญ่นั่งมองดูนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือขณะที่เข้ามานั่งรอภายในรถหรูเป็นเวลาเกือบสิบนาทีกว่าแล้วด้วยสายตาราบเรียบ
“ออกรถเลยไหมครับนาย” โอดินมือขวาคนสนิทของมาเฟียหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถข้างคนขับเอ่ยถามขึ้น เพราะปกติแล้วนิสัยของครูสเป็นคนที่ไม่ชอบรออะไรนานๆ แต่เขานั่งอยู่ในรถมาเป็นเวลาเกือบสิบนาทีแล้ว
“รออีกเดี๋ยว” ครูสตอบอย่างใจเย็น และมันก็เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้ เมื่อดาร์เลเน่เดินออกมาจากอะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง พร้อมกับกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง
ดาร์เลเน่เคาะกระจกรถเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะเข้าไปนั่งข้างๆ
มาเฟียหนุ่มโดยเว้นระยะห่างจากที่นั่งของเขาพอสมควร
“ฉันดีใจนะที่เธอฉลาดพอที่จะเชื่อฟังฉัน อยู่กับฉันเป็นเด็กดีอย่าสร้างปัญหาล่ะ” ครูสบอกขณะที่ยื่นมือไปลูบเส้นผมสีดำขลับของหญิงสาวอย่างเบามือ “เขยิบมานี่สิ” ครูสบอกกับหญิงสาว
“...” ดาร์เลเน่หันไปมองแววตากดดันที่มาเฟียหนุ่มส่งมาให้อย่างไม่มีทางเลือก เธอกอดกระเป๋าเป้บนตักแน่น พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้มาเฟียหนุ่มอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ออกรถ” ครูสออกคำสั่งเสียงเข้มขณะที่เอื้อมมือไปโอบไหล่มนเอาไว้ ทว่าคนตัวเล็กกลับนั่งตัวเกร็งตลอดทาง แต่สุดท้ายเธอก็ทนความอ่อนเพลียเอาไว้ไม่ไหวผล็อยหลับไปในที่สุด โดยมีไหล่กว้างของมาเฟียหนุ่มเป็นที่พักพิง
รถยนต์คันหรูขับเข้ามาภายในบ้านสไตล์โมเดิร์นที่ดูทันสมัยและสบายตาบนเนื้อที่กว้างขวาง ทว่ากลับมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม
มีบอดี้การ์ดสลับเวรยามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง และทางด้านหลังก็เป็นสนามหญ้าที่ติดกับธารน้ำขนาดใหญ่ที่ครูสมักจะใช้เป็นสถานที่ฝึกยิงปืนบ่อยๆ อีกฝั่ง
ตรงข้ามก็เป็นลานจอดเครื่องบินส่วนตัว เพราะเขามักจะต้องเดินทางแข่งกับเวลา เครื่องบินจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขา
“ให้ผมปลุกเธอไหมครับ”
“ไม่ต้อง อุ้มไปไว้ที่ห้องนอนก่อน” ครูสบอกกับโอดิน เขาเพียงแค่พยักหน้ารับคำสั่งเงียบๆ ตามหน้าที่
ร่างบางถูกวางลงบนที่นอนสีดำสนิทโดยฝีมือของโอดิน ก่อนที่เขาจะเดินกลับออกไป ความอ่อนนุ่มของที่นอนช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของร่างกายทำให้คนตัวเล็กหลับยาวตลอดคืน ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นมากลางดึกเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งมีคนมานอนข้างๆ เธอ เธอก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เช้าวันต่อมา
ร่างบางนอนพลิกตัวไปมาด้วยความอึดอัด เมื่อแสงแดดยามเช้าเริ่มแยงตา และรู้สึกหนักอึ้งที่เอวคอดบาง เปลือกตาบางกะพริบถี่ๆ เพื่อปรับม่านตาให้รับกับแสงแดดได้เป็นปกติ ก่อนที่จะเบิกโพลงอีกครั้งด้วยความตกใจ
“อ๊ะ!” ร่างบางถอยออกห่างทันทีที่เห็นร่างหนาของมาเฟียหนุ่มนอนหลับอยู่ข้างกาย มือเรียวรีบยกขึ้นมาปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเผลอส่งเสียงดังเกินไป ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวออกทีละน้อยจนกระทั่งลงจากเตียงได้สำเร็จ
ร่างบางยืนมองมาเฟียหนุ่มหลับ พร้อมกับพยายามมองไปรอบๆ ห้องด้วยความงุนงง เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน อะไรเป็นอะไร จึงไม่กล้าที่จะหยิบจับอะไรโดยพลการ ร่างบางหันหลังกลับไปมองยังแสงแดดยามเช้าที่
สาดส่องเข้ามาทางระเบียง เท้าเรียวก้าวเดินไปปิดผ้าม่านโปร่งสีขาวสะอาดตา
ลงอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้แสงแดดรบกวนคนที่กำลังนอนหลับอยู่ ก่อนที่เธอจะเปิดประตูระเบียงออกไปยืนดูวิวด้านนอก
“สวยจัง” ดาร์เลเน่พึมพำออกมาอย่างลืมตัว เมื่อเห็นวิวทิวทัศน์ด้านหน้า ข้างหน้าเป็นสนามหญ้าสีเขียวชอุ่มตัดกับลำธารขนาดใหญ่ที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นป่าไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา ถึงแม้บรรยากาศจะดูสงบ แต่มันก็คงจะไม่ได้สงบอย่างที่เธอคิด คนตัวเล็กถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับนำพาตัวเองออกมาจากจินตนาการที่แสนวิเศษนั่น เพราะโลกแห่งความเป็นจริงนี่คงเป็นเพียงแค่ฉากที่สวยงามเท่านั้น
“ฉันนึกว่าเธอจะซึมเศร้ากำเริบจนกระโดดลงไปข้างล่างแล้วซะอีก”
“คุณตื่นแล้วเหรอคะ...” คนตัวเล็กเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหนียมอาย เมื่อหันไปเห็นมัดกล้ามที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้อคลุมของชายหนุ่ม
“อืม”
“ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ ฉันต้องไปมหา’ลัย”
“วันนี้ไม่ต้องไป วันนี้เธอมีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้และจัดการ พรุ่งนี้ค่อยไป ฉันจะให้คนขับรถไปส่ง”
“ค่ะ” ดาร์เลเน่รับคำอย่างไม่เรื่องมาก หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างคือเธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธต่างหาก
“เธอต้องการเงินเท่าไหร่ หรือต้องการอะไรก็บอกโอดินได้เลย คนนั่งหน้ารถเมื่อวาน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมีเงินส่วนตัวอยู่” ดาร์เลเน่ปฏิเสธ
“แต่มันคือสิ่งตอบแทนจากฉัน เธอควรจะรับไว้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเธอเองนะ”
“งั้นฉันขอเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกลัวว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปเป็นเรื่องที่ผิดนักหนา
“ว่ามาสิ”
“รับปากก่อนสิคะ ว่าจะตกลง ฉันขอแค่อย่างเดียวจริงๆ”
“หึ ก็ดีฉันชอบคนเอาตัวรอดเก่ง อยากขออะไรฉันล่ะ ฉันรับปากว่าจะให้เธอตามที่เธอขอ”
“คุณจะไม่ทำอะไรฉันใช่ไหมคะ หมายถึงอย่าทำอะไรฉันแบบนั้น
ได้ไหม”
“แบบนั้นคือแบบไหน” มาเฟียหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็กจนลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงมาบนหน้าผากมน
“ฉันรู้ว่าคุณรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”
“แล้วเธอคิดว่าฉันจะเอาเด็กผู้หญิงอย่างเธอมาเลี้ยงดูทำไมกัน จะเอามาแค่ดูเล่นอย่างงั้นเหรอ”
“แต่คุณรับปากฉันแล้ว”
“ไม่มีสัจจะในหมู่โจรเคยได้ยินไหม แล้วฉันเป็นมาเฟียนี่นับรวมด้วยหรือเปล่า”
“มาเฟีย” ดาร์เลเน่ทวนคำพูดของชายหนุ่มด้วยแววตาตกใจเล็กน้อย “นั่นคือตัวตนของคุณใช่ไหม”
“ใช่ ฉันเป็นมาเฟีย เพราะฉะนั้นอย่าพยายามอยากรู้อะไรในบ้านหลังนี้ เพราะยิ่งเธอรู้เยอะมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น” ถึงแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หญิงสาวก็รับรู้ได้ถึงคำเตือน และความน่าเกรงขามในน้ำเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี มันยิ่งตอกย้ำให้เธอต้องยอมรับชะตากรรมที่ไม่มีทางเลือกของตัวเอง
“ยังไงฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่ดี แล้วฉันจะหาเรื่องตายไปทำไมกันคะ” ดาร์เลเน่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงว่างเปล่า เขาไม่ใช่แค่ผู้มีอิทธิพลแบบที่เธอคิด แต่เขาคือคนที่ถืออำนาจอยู่เหนือกฎหมาย เขาสามารถฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกผิด และเขาก็สามารถฆ่าคนได้โดยไม่มีความผิดเช่นกัน
“ดีมากเด็กดีของฉัน”
“ฉันมีหน้าที่ต้องทำไหมคะ หรือคุณอยากให้ฉันมาอยู่ด้วยเฉยๆ แค่นั้นเหรอคะ”
“สิ่งที่ฉันอยากให้เธอทำ เธอพึ่งขอร้องให้ฉันไม่ทำมันเมื่อกี้ไง”
“คุณจะทำตามคำขอฉันจริงๆ เหรอคะ!” ดาร์เลเน่เงยหน้าถามด้วยแววตาเป็นประกาย จู่ๆ เธอก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา ก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอทำบางอย่างพลาดไป เมื่อริมฝีปากพลาดไปแตะกับกลีบปากหนาของชายหนุ่มเบาๆ จังหวะที่เธอเงยหน้าขึ้น ทำให้เธอรีบก้มหน้าลงมาที่เดิมทันที
“ตราบใดที่เธอเป็นเด็กดีของฉัน ฉันจะทำตามที่เธอขอ ฉันบอกแล้วไงฉันใจดีกว่าที่เธอคิดนะอย่างน้อยก็ในบรรดาเพื่อนของฉัน”
“ทะ...ทราบแล้วค่ะ”
“แต่แบบนี้ฉันไม่นับรวมในคำขอของเธอนะ” ชายหนุ่มกระซิบข้าง
ใบหูขาวสะอาดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะจับปลายคางมนให้เชิดหน้าขึ้นเบาๆ พร้อมกับแนบริมฝีปากหนาลงมาทาบทับกับริมฝีปากเล็กเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ บดขยี้ราวกับเป็นมาร์ชเมลโลนุ่มๆ แต่มันกลับเริ่มรุนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ปลายลิ้นหนาสอดแทรกเข้าไปตวัดดูดดุนปลายลิ้นเล็กจนน้ำลายใสๆ ไหลออกมาเปรอะเปื้อนรอบริมฝีปากเล็ก มือเรียวออกแรงดันหน้าท้องแกร่งให้ออกห่าง เมื่อเธอเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ
พรึ่บ!
“แฮ่ก! แฮ่ก!” คนตัวเล็กยกมือขึ้นจับราวระเบียงเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว พร้อมกับใช้มืออีกข้างเช็ดคราบน้ำลายออกด้วยความเขินอาย และตกใจในเวลาเดียวกัน
“ฉันชักไม่แน่ใจแล้วสิ ว่าฉันจะอดทนกับคำขอของเธอไปได้นานแค่ไหน” ครูสบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ พร้อมกับตวัดปลายลิ้นหนาเช็ดคราบน้ำลายที่เปรอะเปื้อนอยู่บริเวณริมฝีปากตัวเองช้าๆ โดยที่สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าหวานที่กำลังแดงระเรื่ออยู่ในตอนนี้เลย