หลินเยว่เพ่งจิตเข้าไปในมิติ ตามคำแนะนำของเทพชะตา เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ได้เป็นห้องเล็กๆ เช่นที่นางอยู่ในตอนแรก
แต่ด้านหน้าของนาง นอกจากทุ่งหญ้าที่กว้างแล้ว ยังมีทิวเขาที่งดงาม ลำธารที่ไหลผ่านตัดกับทุ่งหญ้า ดอกไม้นานาชนิดที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอม แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องกรีดร้องออกมาอย่างยินดีเห็นจะเป็นโกดังเก็บวัตถุดิบที่นางไว้ใช้ทำสินค้า และบ้านของนางที่เหมือนกับของเดิมไม่มีผิดเพี้ยน
“สวรรค์ ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ เทพชะตา” นางคุกเข่าลง พร้อมทั้งตะโกนขึ้นไปบนฟ้า
อย่างน้อยนางก็พอจะมองหาหนทางรอดที่จะใช้ชีวิตในภพนี้ได้แล้ว นับว่านางโชคดีไม่น้อยที่ขั้นตอนการผลิตทั้งหมดนางเรียนรู้ด้วยตนเองมาโดยตลอด
ต่อให้ต้องเริ่มทำขึ้นมาตามวิธีแบบโบราณนางก็ไม่กลัวแล้ว เพราะมีวัตถุดิบที่มากมายใช้ได้ไม่หมด นางไม่ต้องไปแสวงหาจากที่อื่นให้ยุ่งยาก
หลินเยว่วิ่งเข้าไปในบ้านของนางด้วยความดีใจ ข้าวของด้านในล้วนแต่มีเช่นเดียวกับที่ภพเดิม ไหนจะอาหารแห้งอาหารสดที่นางมักจะซื้อตุนไว้ตลอด และเมื่อออกไปดูวัตถุดิบนอกเมืองนางยังซื้อของชาวบ้านกลับมาเก็บไว้ไม่น้อย
ต่อให้ที่เรือนตระกูลจางไม่ให้นางกินข้าว นางก็สามารถเข้ามากินด้านในได้ หลินเยว่รีบขึ้นไปที่ห้องนอนของนางทันที พร้อมทั้งล้มตัวลงนอนกลิ้งไปมา
“คิดว่าจะไม่ได้นอนที่นอนนิ่มๆ อีกแล้ว” นางกอดหมอนไว้แน่นอย่างดีใจ
แต่นางก็ไม่ได้อยู่ภายในบ้านนาน เพราะกลัวว่ามีผู้อื่นมาหานางที่ห้องหอแล้วจะไม่พบนางเข้า นางจึงได้ออกไปด้านนอกทันที ถึงอย่างไรนางจะเข้ามาสำรวจเมื่อใดก็ได้
พอฟ้ามืด จางเลี่ยงรุ่ยก็กลับมาที่ห้องหอด้วยสภาพที่เหนื่อยล้า จนหลินเยว่นางอดที่จะเห็นใจเขาไม่ได้
“เหนื่อยมากหรือไม่” นางถามออกมา
“ไม่ ข้าจะไปล้างตัวก่อน เจ้าจะนอนเลยก็ได้”
“เดี๋ยว แล้วท่านกินอันใดหรือยัง” ขนาดนางยังได้กินเพียงน้ำข้าวต้ม แล้วเขาเล่าจะได้กินอันใด
“กินแล้ว” จางเลี่ยงรุ่ยบอกปัดนางไป ก่อนจะหยิบของแล้วเดินไปอาบน้ำที่หลังเรือน
หลินเยว่นางไม่เชื่อเขาอยู่แล้ว ว่าเขาจะได้กินอะไรก่อนจะกลับเข้ามานอน นางเข้าไปในมิติอีกครั้งเพื่อนำของกินออกมาให้เขา
ของกินทุกอย่างที่อยู่ในบ้านของนางล้วนแต่เป็นอาหารแช่แข็ง เพียงแค่นำมาอุ่นก็กินได้ทันที มันง่ายและสะดวกสำหรับนางที่ทำงานหนักเกือบทุกวัน
พอจางเลี่ยงรุ่ยเข้ามาในห้อง เขาก็ได้กลิ่นหอมของอาหาร ที่เขาไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อน
“นั่งลงเร็วเข้า” หลินเยว่ กวักมือเรียกเขาให้รีบมานั่งลงตรงหน้าของนาง
นางนำอาหารที่แอบไว้ข้างเตียงออกมาวางตรงหน้าของเลี่ยงรุ่ย พร้อมทั้งยิ้มมองเขาว่าเขาจะตกใจมากเพียงใดที่ได้เห็นของทั้งหมดที่นางนำออกมา
“เจ้าเอามาจากที่ใด” เขามองนางอย่างสงสัย
“เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าท่านเทพชะตาให้สิ่งใดข้า อย่าเพิ่งถามรีบกินเสียก่อน ก่อนที่ผู้ใดจะเข้ามาเห็น”
นางส่งตะเกียบให้เขา และพยักหน้าให้เขารีบกินเร็วๆ จางเลี่ยงรุ่ยก็เห็นด้วยกับนาง หากมีผู้ใดมาเห็นเขาก็คงจะตอบคำถามไม่ได้เช่นกัน
อาหารที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนตรงหน้าผู้ใดเล่าจะอดใจไหว ทั้งวันจางเลี่ยงรุ่ยก็ยังมิได้กินอันใด เขาจึงลงมือกินอย่างรวดเร็ว หลินเยว่เท้าคางนั่งมองเขากินอย่างยินดี
ทั้งสองไม่รู้เลยว่ากลิ่นของอาหารส่งกลิ่นหอมออกไปถึงด้านนอก จางเฉิงบุตรชายของท่านอารองที่คิดจะเข้ามาแอบดูบ่าวสาวเข้าหอ ก็ได้กลิ่นอาหารเข้าเสียแล้ว
เขารีบวิ่งกลับไปที่เรือนหลักเพื่อฟ้องท่านย่าเรื่องที่จางเลี่ยงรุ่ยแอบเก็บอาหารไว้กินในห้องทันที
เลี่ยงรุ่ยเขาได้ยินเสียงของคนที่วิ่งออกจากหน้าห้องของเขาไปแล้ว จึงส่งสายตาให้หลินเยว่ นางเก็บอาหารเข้าไปในมิติเสีย
แล้วเขารีบเดินไปที่หน้าต่างเพื่อเปิดออกระบายกลิ่นอาหารที่อยู่ในห้องทันที พอได้ยินเสียงที่เดินมาอย่างเร่งรีบของกลุ่มคนเลี่ยงรุ่ยก็ปิดหน้าต่างลง
เขาผลักตัวหลินเยว่ให้นอนลงบนเตียง ก่อนจะปลดสาบเสื้อของนางออก แล้วใช้ผ้าห่มคลุมตัวของนางไว้ เหลือเพียงไหล่มนที่โผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น
“ท่าน” แต่ก่อนที่หลินเยว่จะร้องถามว่ากำลังคิดจะทำสิ่งใดก็ถูกเขาปิดปากนางไว้เสียก่อน พร้อมทั้งชี้ไปทางประตู นางจึงได้เข้าใจทันที เมื่อได้ยินเสียงคนเดินมาและยังมีเสียงด่าทอตามมาอีกด้วย
หลินเยว่นางจึงถอดเสื้อออกแล้วโยนไปที่ปลายเตียง ในตอนนี้ส่วนบนของนางจึงไม่มีสิ่งใดปกปิด นอกเสียจากผ้าห่มที่คลุมตัว
“เจ้า” เลี่ยงรุ่ยเบิกตากว้าง เมื่อเห็นหลินเยว่นางถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด
“จะได้สมจริงอย่างไรเล่า ท่านก็รีบถอดเสื้อนอกออกเร็ว” นางร้องสั่งเขา
เสียงเคาะประตูพร้อมทั้งตะโกนเรียกอยู่หน้าห้องดังขึ้น ทั้งสองก็จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ไอ้ตัวซวย” นางฮั่วซื่อทุบประตูห้องเสียจนมันแทบจะพังลงมา
เลี่ยงรุ่ยที่ถอดเสื้อออกเหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว ก็เดินไปเปิดประตูทันที
“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
คนด้านนอกมองเข้ามาด้านในก็ต้องตกตะลึง เมื่อทั้งสองแทบจะเปลือยเปล่า ทั้งยังข้าวของที่ระเกะระกะไปทั่วห้อง แต่เมื่อลองสูดดมกลิ่นอาหารก็ไม่เห็นจะมีเช่นที่ จางเฉิงวิ่งไปบอกสักนิด
“เจ้าแอบซ่อนอาหารไว้ใช่หรือไม่” แต่เพราะไม่อยากจะเสียหน้า นางฮั่วซื่อจึงได้ร้องถามออกมา พร้อมทั้งหันไปมองตำหนิหลานชายสุดที่รักของตน ว่าไม่ดูให้ดีเสียก่อน
“จะมีได้อย่างไรขอรับ ท่านย่าก็เห็นว่าข้ามิได้ถือสิ่งใดกลับมาที่ห้อง” เลี่ยงรุ่ยเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“พวกท่านจะมองอีกนานหรือไม่ วันนี้วันเข้าหอของข้า หรือพวกท่านอยากถูกชาวบ้านนินทา แม้แต่หลานชายจะเข้าหอก็ยังคิดจะขัดขวาง” หลินเยว่เอ่ยถามออกมาอย่างไม่ไว้หน้า
ผ้าห่มที่เลื่อนหล่นลงมาเผยให้เห็นไหล่มนที่ขาวผ่องจนน่ายื่นมือไปลูบไล้ จางเฉิงที่เห็นเช่นนั้นก็เผลอกลืนน้ำลายลงคอ จนเลี่ยงรุ่ยต้องขยับเพื่อบังไม่ให้เขามองเข้ามาด้านในห้อง
“เหอะ ไม่คิดว่าคุณหนูเกาจะเอ่ยเรื่องน่าอายเช่นนี้ออกมาได้” นางหงซื่อเอ่ยตำหนิหลินเยว่
“อ้อ หรือท่านอาสะใภ้มิทำเรื่องเช่นนี้เจ้าคะ” นางเอ่ยถามด้วยใบหน้าใสซื่อ
“ดู ท่านแม่ หลานสะใภ้ที่ท่านเลือกปากร้ายยิ่งนัก” แม้แต่นางฮั่วซื่อก็ดูเหมือนจะแปลกใจไม่น้อย เพราะตอนที่ถูกนางเจินซื่อเรียกไปคุยนางรู้มาว่าคุณหนูใหญ่เกา มิใช่สตรีปากมาก ทั้งยังหัวอ่อน หรือว่านางจะถูกหลอกเสียแล้ว
“ไป กลับเรือน” นางฮั่วซื่อร้องสั่งให้ทุกคนกลับเรือน เพราะไม่อาจจะจับพวกเขาได้คาหนังคาเขา ทั้งยังเสียหน้าอยู่ไม่น้อยที่ถูกหลินเยว่ตอกหน้าเข้าให้