ตอนที่ 7 บทลงโทษของเด็กนิสัยไม่ดี
+++โฬม+++
หลังจากคุณหมอทำแผลให้ไอ้น้องแทนเสร็จเรียบร้อยผมก็โดนคุณหมอธนูดุอีกครั้ง สองวันแล้วที่ผมให้คนไปรับหมอมาทำแผลให้คนที่ฟาร์ม โชคยังดีที่ครั้งนี้เป็นแผลที่ไอ้ตัวเหี้ยนั่นมันคงตะกุยข่วนจนเป็นแผล
ไอ้เจ้าตัวเล็กนี่ก็ผิวบางเหลือเกิน แผลแค่นี้เลือดไหลอย่างกับโดนเชือด ผมสั่งให้ไอ้ขุนขับรถไปส่งหมอธนูที่บ้านเช่นเดิม ส่วนเพื่อนของผมทั้งสองคนแวะมาดูนิดหน่อยก่อนจะขอตัวไปพักผ่อน เพราะเมื่อคืนแต่ละคนก็แทบไม่ได้นอน วันนี้ยังมาเจอเรื่องบ้าบอนี่อีก
“นอนได้แล้ว” ผมเอ่ยขึ้นดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ไอ้เด็กแสบจนถึงหน้าอก
“พรุ่งนี้จะกลับบ้านนะ” เสียงใสๆนั้นเอ่ยขึ้นหน้าหวานงอง้ำน่าหมั่นไส้ชะมัด
“ไม่ได้” ผมตอบห้วน
“อยากกลับบ้าน กูไม่อยากอยู่นี่ กูเกลียดมึง” คำเรียกขานหยาบคายทำให้ผมรู้สึกเหลืออด
“หยุดใช้คำพูดแบบนั้นกับพี่นะแทน” ผมดุเสียงเข้ม โน้มตัวลงไปใช้แขนทั้งสองข้างยันล็อคข้างลำตัวเด็กหนุ่มไว้เหมือนกรง ใบหน้าของผมโน้มเข้าไปใกล้ใบหน้าหวานซึ่งส่งสายตาตื่นตระหนกออกมาอย่างไม่ได้ปกปิด
“มึง..จะ...ทำ..อะ...ไร” เสียงนั้นขาดเป็นห้วงๆ
“เรียกพี่โฬมเดี๋ยวนี้ แล้วหยุดพูด มึง กู สักที ไม่อย่างนั้นเจอดีแน่”
“ทำไมจะโยนลงสระไปให้ตัวเหี้ยมันแดกกูอีกหรือไง”ไอ้เด็กตัวร้ายเอ่ยเม้มปากแน่น
“บ่อเหี้ยมันดัดนิสัยแทนไม่ได้ เดี๋ยวรอบหน้าจะพาไปบ่อจระเข้แล้วกัน” ผมตอบเสียงเย็นส่งรอยยิ้มเยาะไปให้
“มึงมันเหี้ย....” คนตัวเล็กหดตัวซุกหน้าเข้ากับผ้าห่ม จนเหลือแค่หน้าผากเท่านั้นที่ผมเห็น
“โผล่หน้ามาคุยกับพี่ก่อนสิครับ” ผมนึกสนุกขึ้นมาพาลนึกไปถึงในห้องน้ำเมื่อสักครู่
หลังบานประตูห้องน้ำนั้น ร่างเปลือยเปล่าขาวสว่างตาปรากฏอยู่ต่อหน้าผม มันไม่แปลกหรอกนะ ผมเองออกจะชินตาอยู่กับการเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น หรือการที่จะมีใครสักคนมาเปลือยกายต่อหน้าผม แต่ร่างบางตรงหน้านี่สิ ทำเอาหัวใจผมแทบหยุดเต้น
ร่างบางเอวคอดสะโพกผาย ผิวขาวละเอียดมีร่องรอยแดงช้ำตามข้อมือ ลำคอ เอว สายตาของผมไล่เรื่อยสำรวจไปทั่วแล้วหยุดอยู่ที่ใบหน้าหวานริมฝีปากบางๆ ที่เวลานี้มันเผยอออกเล็กน้อย เหมือนกันกำลังรอคอยผมอยู่ มันคงจะนุ่ม มันน่าสัมผัส อยากรู้จังว่าปากบางๆ นี่มันจะหอมหวานสักแค่ไหน แต่ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรส เสียงเคาะประตูก็ขัดจังหวะเสียก่อน เล่นเอาอารมณ์ผมค้างไปเลย
ผมเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มนั้นออกมา ผิวขาวๆ นั้นมันเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มไปแล้ว ดวงตากลมโตหลับสนิทหยีตาแน่นเหมือนคนกลัวผี ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้ ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ผมดึงมือนั้นออกก้มหน้าลงไปใกล้อีก จนปลายจมูกของผมเคลียอยู่กับปลายจมูกเชิดๆ ของเด็กเอาแต่ใจตรงหน้า
“น้องแทน” ผมเอ่ยเรียกชื่อคนตัวเล็กที่ยังไม่ยอมลืมตามามองผม
“............” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาแต่หน้านั้นแดงซ่าน ลามไปจนใบหู
“ลืมตามาคุยกับพี่ก่อนสิ” ผมยิ้มมุมปากอย่างพออกพอใจที่ทำให้เด็กร้ายกาจคนนี้สิ้นฤทธิ์ลงได้
“ไม่คุย”เสียงสั่น ๆ ตอบกลับมา
“ลืมตาเร็ว ถ้าไม่ลืมตาถ้าอย่างนั้นพี่จะ...”
ผมเว้นระยะลากเสียงยาวรอดูผลลัพธ์ แล้วก็จริงน้องแทนค่อยๆลืมตาขึ้นมาทีละข้างขนตางอนยาวนั้นกระพริบถี่ ๆ ห่างจากผมแค่ปลายจมูก
“จะยื่นหน้ามาทำไมถอยออกไปเลยนะ” เสียงใสสั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ก็พี่ขี้เกียจตะโกนคุยแล้ว พูดเสียงดังจนเจ็บคอไปหมดแล้วนี่ อยู่ใกล้ ๆ พูดกันเบา ๆ แบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ”ผมเอ่ยส่งยิ้มให้คนตรงหน้า น้องแทนกัดเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างเผลอตัว พยายามก้มหน้าหนีสายตาของผม
“จะนอนแล้ว” น้องแทนบอกผม หันหน้าหนีไปอีกทางเหมือนไม่กล้าสบตา
“ง่วงแล้วเหรอ”
“อืม”
ยิ่งเห็นอาการตกประหม่า เขินอายของคนตรงหน้าแบบนี้ ให้ตายเถอะ มันทำให้ผมอารมณ์ดีชะมัด เดี๋ยวนะทำไมผมต้องอารมณ์ดีด้วยนะ อืม...การได้แกล้งไอ้น้องแทนมันคือความสุข ความสนุกของผมนี่นะ ได้แกล้งแบบนี้ก็ต้องมีความสุขแหละเป็นเรื่องธรรมดา
“ไปนอนได้แล้ว จะนอนแล้ว” เสียงไล่ผมเบา ๆ อีกครั้ง
“ครับ ฝันดีนะครับน้องแทน” ผมยื่นหน้าไปใกล้ ๆ กระซิบแผ่ว ๆ ลงกับใบหูที่แดงแปร๊ดของอีกฝ่าย ยิ้มออกมาอย่างพอใจในผลงาน เอาล่ะทีนี้ก็รู้แล้วว่าทำยังไงไอ้เด็กปากร้ายนี่ถึงจะสงบ
+++แทน+++
เสียงเคาะประตูหน้าห้องปลุกผมให้ตื่น ผมลุกขึ้นมานั่งงง ๆ อยู่บนเตียงก่อนจะค่อยๆ ลุกไปเปิดประตูออกช้าๆ ไอ้คนชื่อเต้ยส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร
“คุณแทนครับ ลูกพี่ให้ขึ้นมาตามคุณแทนลงไปทานข้าวครับ เอ่อ...ลูกพี่บอกว่าให้ตามครั้งเดียว ถ้าไม่ลงไปเดี๋ยวลูกพี่จะขึ้นมาตามเองนะครับ”
คนชื่อเต้ยบอกอย่างหวาด ๆ ผมยกปากย่นหน้าอย่างหงุดหงิดในแบบของผม นี่ไอ้เหี้ยพี่โฬมมันจะเล่นสงครามประสาทกับผมหรือยังไงกันนะ
เมื่อคืนนี้กว่าผมจะข่มตาให้หลับได้ก็ปาไปเกือบตีสอง ใครมันจะไปหลับลง เรื่องราวเยอะแยะมากมายวุ่นวายชิบหาย ทั้งเรื่องหาทางหนีออกจากบ้าน ทั้งเรื่องที่มันจับผมโยนให้เหี้ยแดก แล้วเรื่องในห้องน้ำนั่นอีก แล้วบนเตียงเมื่อคืน ไอ้เหี้ยพี่โฬม มึงเป็นคนยังไงกันแน่วะ เดี๋ยวมึงก็ดี อีกเดี๋ยวมึงก็ร้ายใส่กู กูนี่ปรับอารมณ์ตามมึงไม่ทันจริงๆ
ผมเดินไปหยิบนาฬิกาข้อมือที่มันถูกแพ็คมาในกระเป๋าเดินทางของผมขึ้นมาใส่ นาฬิกาแบรนด์หรูราคาเฉียดล้าน เข็มเล็กๆ ของมันแสดงเวลาให้รู้ว่า...
ไอ้ชิบหาย เพิ่งจะหกโมงครึ่ง พวกมึงจะรีบตื่นไปไหนกันวะ นึกว่าสักแปดโมงเก้าโมง พอรู้เวลาผมก็อยากจะทิ้งตัวลงไปนอนต่ออีกสักหน่อย แต่ว่าเมื่อกี้นี้ไอ้คนชื่อเต้ยมันบอกว่าถ้าไม่ลงไปเดี๋ยวไอ้เหี้ยพี่โฬมมันขึ้นมาตามเอง แล้วถ้ามันขึ้นมาตามมันจะทำอะไรกูหรือเปล่าวะ โว้ย....ไอ้ห่าเอ๊ย
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ตัดสินใจว่าไม่เสี่ยงกับอารมณ์ผีบ้าผีบอของไอ้เหี้ยพี่โฬมดีกว่า เดี๋ยวแม่งเกิดหงุดหงิดจับผมโยนลงไปในบ่อจระเข้จริงๆขึ้นมา เพราะฉะนั้นอะไรยอมมันได้ก็ยอมมันไปก่อนละกัน อีกอย่างตอนนี้ผมเองก็โคตรหิวเลย
ผมเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ไอ้เหี้ยพี่โฬมคนตัวโต มันเงยหน้าขึ้นมามองผมนิดนึง ก่อนจะพยักหน้าให้ผมนั่งลงข้างๆมัน ด้านซ้ายข้าง ๆ ผม ผมจำได้ว่าคือไอ้พี่ธีร์คนที่ไปทักผมในห้อง ส่วนตรงข้ามผมคือไอ้คนชื่อใบชา บนโต๊ะอาหารนี้ผมรู้จักเพิ่มอีกคนก็แค่ไอ้คนชื่อเต้ย กับไอ้โอ๊ตเท่านั้น ผมกวาดสายตามองไปจนทั่วโต๊ะ แล้วหันกลับมาจ้องคนข้าง ๆ ฝั่งขวาอีกที
“อยากได้โทรศัพท์” ผมบอกความต้องการของผมทันที ไม่ได้ตะโกน ไม่ได้ตะคอก ไม่ได้ตวาดเสียงดัง แต่ผมพยายามใช้น้ำเสียงปกติที่สุดของที่สุดแล้วเวลานี้
“จะโทรหาใคร” คนตรงหน้าเอ่ยถาม พร้อมยื่นแก้วกาแฟส่งให้คนชื่อเต้ย ซึ่งเดินอ้อมมาด้านหลังรับแก้วกาแฟไป
“โทรหาคุณย่า โทรหาคุณพ่อกับคุณแม่ โทรหาเพื่อน โทรหา...”
ผมสาธยายยาวเหยียด ก็คนมันเหงานี่นะ อยู่นี่น่าเบื่อจะตายชัก วัน ๆ อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ทีวีก็ไม่มีคอมพิวเตอร์ก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ไม่มีอยากจะบ้าตาย
“ให้เลือกมาหนึ่งคน จะโทรหาใคร ” เสียงเรียบ ๆ นิ่งๆนั่นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ก็คิดถึงทุกคน อยากคุยกับทุกคน ทำไมให้โทรได้แค่คนเดียว” ผมเริ่มมีอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมานิดๆ
“ถ้าเลือกไม่ได้ก็ไม่ต้องโทร”เสียงเรียบนิ่งๆ นั่นน่าหงุดหงิดชิบหาย
“ไอ้....” ผมหลุดเรียกมันแค่คำแรก ใบหน้าเข้ม ๆ นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาทำตาดุใส่ผม
ผมพยายามระงับสติอารมณ์อย่างสุดขีด หันซ้ายหันขวากวาดสายตาไปทั่วโต๊ะ มือกำหมัดตัวเองจนแน่นแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นคนอื่นๆ รอบโต๊ะใช้มือยกชามข้าวของตัวเองขึ้นออกไปให้พ้นรัศมีมือผม นี่คงกลัวผมอาละวาดกวาดอาหารเช้าพวกมันทิ้งอีกสินะ
“โว้ย...” ผมร้องออกมาอย่างอึดอัด แล้วสะบัดหน้าหนีสายตาตื่นตระหนกของผู้ชายเก้าคนตรงหน้า หันไปหาไอ้เหี้ยพี่โฬมอีกครั้ง แบมือไปตรงหน้ามันตรงๆ
“เอามาจะโทรหาแม่”
ผมแบมือยื่นไปตรงหน้า ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองหงุดหงิดอารมณ์ไม่ปกติ แต่ก็อยากโทรหาแม่ ถ้าผมเล่าเรื่องทุกอย่างที่นี่ให้แม่ฟัง แม่คงทนไม่ได้รีบขับรถมารับผมกลับแน่นอน
“ไอ้ธีร์ ยืมโทรศัพท์หน่อย”เสียงเรียบๆ นั้นเอ่ยขึ้น
“เอ่อ....”
ไอ้คนชื่อธีร์ดูลังเล เหมือนไม่อยากให้ผมใช้โทรศัพท์ของมัน จะงกอะไรกันนักกันหนาวะค่าโทรศัพท์แค่ไม่กี่นาที มันจะสักกี่บาทกันเชียว เดี๋ยวให้แม่จ่ายให้ก็ได้
“...” ทั่วทั้งโต๊ะเงียบกริบสายตาจับไปที่ไอ้คนชื่อธีร์เป็นตาเดียว
“ปลอดภัยแน่นะมึง” ไอ้คนชื่อใบชากระซิบถามไอ้เหี้ยพี่โฬม
ส่วนไอ้คนชื่อธีร์ก็ส่งสายตาวิงวอนอ้อนตีนเหลือเกิน กูแค่จะเอามาโทรหาแม่ ไม่ได้เอาโทรศัพท์พวกมึงไปทำระเบิดพลีชีพสักหน่อย มึงจะอะไรกันมากมายวะ ผมยื่นมือออกไปพร้อมกระดิกนิ้วให้คนข้าง ๆ รีบส่งโทรศัพท์มาให้ผม
โทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนยี่ห้อดัง แต่ไม่ใช่รุ่นล่าสุด มันล้าหลังไปสองสามรุ่น แต่ก็ยังโอเคแหละพอใช้ได้ พอคว้ามันมาถือเอาไว้ในมือ พร้อมกับเสียงดุเข้มๆ ที่ดังมาจากริมฝีปากหนาของคนข้างๆ
“ขอบคุณพี่เขาหรือยัง” ผมหันไปขว้างสายตาค้อนขวับใหญ่อย่างหัวเสีย ให้ไอ้เหี้ยพี่โฬมโครมนึงก่อนจะหันไปทางซ้ายอีกครั้ง
“Thank you.” ผมพูดสั้น ๆ กดเบอร์โทรออกแล้วตั้งท่าจะลุกขึ้นไปคุยกับแม่อย่างที่ใจต้องการ
“เดี๋ยว...ให้เวลาหนึ่งนาที...แล้วก็ต้องคุยตรงนี้ด้วยห้ามลุกไปไหน” เสียงสั่งคุมเข้มเฉียบขาด
“ห้ะ...”ผมหวีดเสียงอย่างโมโห แค่คุยโทรศัพท์ทำไมต้องเรื่องมากขนาดนี้ด้วยวะ
“นั่งลงคุยดี ๆ ถ้าไม่คุยก็เอาโทรศัพท์คืนพี่ธีร์ไป”เสียงดุเข้มจริงจัง ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ เกลียดมันชิบหายมันจะบังคับอะไรผมนักหนาวะ
“โว้ยยยยย...” ผมระเบิดอารมณ์เสียงดัง เงื้อมือขึ้นสูงต้องการระบายอารมณ์
“เฮ้ยยย...โทรศัพท์กู” ไอ้คนชื่อธีร์ร้องเสียงหลง
จ๋อม... โทรศัพท์ราคาหลายหมื่นดำดิ่งลงไปกลางสระน้ำเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของทุกคน นิ่งสนิทไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ไม่มีเลย แต่ทำไมผมรู้สึกกลัวแปลก ๆ ไอ้คนชื่อธีร์วิ่งไปยังริมสระน้ำหันรีหันขวาง เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะลงไปงมโทรศัพท์ดีหรือเปล่า
“เดี๋ยวผมเองพี่...”
ผู้ชายไม่คุ้นหน้าสองคนอาสาถอดเสื้อ ถอดกางเกงจนเหลือแต่กางเกงในเดินลงสระไป มันสองค**ำผุดดำว่ายอยู่สักพักแล้วชูโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาในมือ คนชื่อธีร์วิ่งถลาไปพร้อมกับพยายามปั๊มหัวใจให้โทรศัพท์ของตัวเองอย่างสุดกำลัง สายตาทุกคู่หันมาจับอยู่ที่ผม เอาละสิกู ตอนโมโหก็ลืมคิด ตอนนี้กี่ตีนวะเนี่ย เอ๊ะไอ้เหี้ยพี่โฬม...ทำไมมันไม่ตวาดใส่ผมวะ แล้วอยู่ๆ ขนหัวผมก็ลุกซู่ขึ้นมากะทันหัน
ดวงตาสีน้ำตาลทองอ่อนๆ นั้นจับนิ่งมาที่ผม มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นเหมือนมันกำลังระงับอารมณ์เอาไว้ ช่างมึงสิ กูจะทำทุกอย่างให้พวกมึงทนไม่ไหว แล้วส่งกูกลับบ้านคอยดูนะ
“ทำไมทำนิสัยแบบนี้ห้ะ” เสียงนั่นตวาดดังลั่นจนผมสะดุ้ง
“เรื่องของกู กูบอกว่ากูจะโทรหาแม่ กูจะคุยกี่คน กี่นาทีก็เรื่องของกู มึงไม่มีสิทธิ์มาห้ามกู” ผมตวาดกลับเสียงดังไม่แพ้กัน
“ขอโทษพี่ธีร์เดี๋ยวนี้”
“กูไม่ขอโทษ”
ผมเกลียดการถูกบังคับที่สุด เออผมรู้ว่าผมอาจจะอารมณ์ร้อนไปบ้างนิดหน่อย ชอบทำลายข้าวของบ้างบางครั้ง แต่ทำไมต้องขัดใจผมด้วยล่ะ ก็ถ้าตามใจผมตั้งแต่แรกผมก็จะไม่โมโหไม่ทำลายข้าวของ แค่ตามใจผมมันยากนักหรือไง
“ขอโทษเดี๋ยวนี้” คนตัวโตกระชากมือผมเข้าหาตัว
“...” ผมไม่พูด เรื่องอะไรจะขอโทษ อยากทำอะไรล่ะ จับผมโยนลงสระให้ตัวเหี้ยแดกผมเหรอ จ้างให้ก็ไม่กลัว
เพี้ยะ... เจ็บร้าวเหมือนกระดูกแทบหัก ฝ่ามือหนาๆฟาดลงมาที่ฝ่ามือของผมเต็มแรง มันชาจนแทบไม่รู้สึก รู้แค่มันสั่นไปหมด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีใครลงมือตีผม คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ พี่เลี้ยง แม่บ้าน นิดหนึ่งก็ไม่มีให้ระคายผิว
ผมตกใจจนแทบช็อค นี่เป็นครั้งแรกที่ผมถูกทำโทษด้วยการตี ไม่ใช่ไม้เรียว ไม่ใช่สิ่งใด มันเป็นการตีจากฝ่ามือหนาๆ ของไอ้ผู้ชายหน้าฝรั่งตัวโต ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผม ผมพยายามดึงมือตัวเองออก อยากกำมือหนีแต่มันชาไปหมด ฝ่ามือขาว ๆ แดงเป็นปื้นสั่นระริก ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบเหมือนไม่มีคนอยู่
“ถ้ายังไม่เลิกนิสัยทำลายข้าวของแบบนี้ พี่จะตีจนกว่าเราจะจำ”
เพี้ยะ.. .ฝ่ามือนั้นฟาดลงมาอีกครั้งเต็มแรง ผมสะดุ้งน้ำตาเม็ดโตหยดลงมาเพราะความเจ็บส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นความรู้สึกอะไรไม่รู้ มันเจ็บจี๊ดๆ ที่หัวใจ ก้อนเนื้อตรงหน้าอกมันบีบรัดแรงๆ แปลกพิกลแต่มันทำให้ผมทนไม่ได้จริงๆ
+++โฬม+++
ภาพโทรศัพท์มือถือของเพื่อนสนิท ที่ลอยละลิ่วปลิวละล่องหล่นจ๋อมลงกลางสระ เพราะฝีมือไอ้เด็กนรกนี่ทำให้สติผมขาด อยากจะคว้าคอมันมาบีบให้ตายคามือ ทำไมนิสัยเสียได้ขนาดนี้ ไม่ได้อย่างใจอะไรก็ด่าทอ ทำลายข้าวของ นี่ขนาดไม่ใช่ของตัวเองและตัวเองยืมคนอื่นมาแท้ๆ ยังกล้าทำได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่เคยผ่อนเบาลงได้เลยสินะ
ผมสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้ง สายตามองดูไอ้เสกกับไอ้ไผ่ลูกสมุนลงไปช่วยกันงมหาโทรศัพท์ โล่งใจขึ้นบ้างที่หาจนเจอ แต่ก็คงต้องเอาไปซ่อมหรืออาจจะได้ซื้อเครื่องใหม่ เป็นการขอโทษเพื่อนแทนไอ้เด็กนรกนี่
“ขอโทษพี่ธีร์เดี๋ยวนี้” ผมตะคอกออกคำสั่งใส่คนตรงหน้าด้วยความโกรธ
“กูไม่ขอโทษ”อีกฝ่ายตวาดเสียงใส่ผมไม่ได้มีร่องรอยการรู้สำนึกสักนิดว่าตัวเองทำผิด
“ขอโทษเดี๋ยวนี้”
ผมกระชากคนตรงหน้าเข้าหาตัวอย่างเหลืออด ผมจะทำยังไงกับเด็กนิสัยเสียคนนี้ดีนะ ท่าทางเชิดหน้าดวงตาเยาะหยันนั่นทำให้ผมโกรธจนแทบบ้า
เพี้ยะ...ผมหงุดหงิดและโมโหจริงๆ มือบางๆคู่นี้ทำไมถึงชอบขว้างปาสิ่งของไปทั่ว ทำไมชอบทำลายข้าวของ ผมฟาดมือตัวเองลงไปเต็มแรง จนผมเองก็รู้สึกเจ็บและชา คนตัวเล็กตรงหน้าดูตื่นกลัว ดวงตาทั้งสองข้างแดงระเรื่อเอ่อล้นไปด้วยม่านน้ำตา
ไม่นานเกินรอ สายธารน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างกับน้ำตก ฝ่ามือบางนั้นแดงและสั่นระริก เจ็บสิ จำสิ ทั้งๆที่พยายามทำให้เจ็บ ทำให้จำ ทำไมยังดื้อ ทำไมไม่เชื่อฟัง
“ถ้ายังไม่เลิกนิสัยทำลายข้าวของแบบนี้ พี่จะตีจนกว่าเราจะจำ”
เพี้ยะ...ผมฟาดฝ่ามือนั้นลงมาอีกครั้งเต็มแรง ไม่ใช่น้องแทนที่เจ็บ หัวใจของผมก็เจ็บเช่นกัน ก้อนอะไรบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่หน้าอก ผมกลั้นอารมณ์ทุกอย่างกัดกรามตัวเองแน่นจนปวดหนึบไปหมด
ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกคน เงียบกริบ มีเพียงเสียงกลั้นสะอื้นของคนตัวเล็กตรงหน้าผม ที่พยายามกลืนเสียงสะอื้นเข้าไป ริมฝีปากนั้นเม้มเข้าหากันแน่น น้องแทนไม่ได้พยายามดิ้นรนขัดขืน หรือไม่แม้แต่พยายามกำมือหนีการลงโทษของผม ไม่ดึงมือหนี ไม่ชักมือกลับ สายตาคู่นั้นจ้องมาที่ผม แค่ที่ผม...พร้อมกับน้ำตาหยดใสๆ เม็ดโต
โฮ...เสียงร้องไห้โฮของคนตรงหน้าทำผมสติแทบหลุด ร่างบาง ๆ พุ่งเข้าไปกอดไอ้ธีร์แน่น จนไอ้ธีร์หน้าเหวอ ผมก็ด้วย คนอื่น ๆ ก็ด้วย มือที่ผมลงโทษไอ้น้องแทนยังแบอยู่ มันสั่นและแดงมาก ผมคงตีแรงเกินไปมือนั้นคงเจ็บมากสินะ
เสียงร้องไห้ถูกกลบอยู่ เพราะคนร่างเล็กซุกหน้าเข้าหาแผ่นอกเพื่อนรักของผม จนแทบจะเข้าไปสิงร่างมันได้อยู่แล้ว ทำไมผมถึงรู้สึกหน่วงๆ แบบนี้นะ ทำไมไม่พุ่งมากอดผมล่ะเหมือนเมื่อคืนนี้ไง เมื่อคืนที่น้องแทนกอดผมจนนิ่งไม่ยอมไปไหน เกาะผมไว้จนผมอุ้มขึ้นไปบนห้อง ทำไมไปกอดไอ้ธีร์ล่ะ แล้วทำไมผมรู้สึกโหวงๆ แปลกๆ
คนอื่นๆ จ้องมองเด็กหนุ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ไอ้ธีร์ที่ตอนแรกเหวอแดกทำอะไรไม่ถูก ผมเดาว่าเมื่อแรกที่ถูกโยนโทรศัพท์ลงสระ มันคงอยากเดินไปตบกระโหลกไอ้น้องแทนให้หัวทิ่ม ถ้าไม่ติดว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้มันคงทำอะไรไม่ถูก เมื่ออยู่ ๆ ไอ้เด็กตัวร้ายก็พุ่งไปกอดมันเฉย แถมร้องไห้เกาะเสื้อมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“เอ่อ..กูไปร้านก่อนนะ” ไอ้ใบชาโบกมือให้ผมและไอ้ธีร์ โดยมีไอ้ขุนและไอ้โดมตามไปด้วย
“เอ่อ...ผมไปคอกม้าก่อนนะพี่” ไอ้เต้ย ไอ้โอ๊ต ไอ้ปืนยิ้มแห้ง ๆ ค่อย ๆ ย่องออกไปทีละคน
“เอ่อ...กู” ไอ้ธีร์ขยับปากแบบไม่มีเสียง หันซ้ายหันขวากางมือออก ผมได้แต่ส่ายหัว
“ไอ้เสก ไอ้ไผ่ มึงสองคนไปดูงานแทนลูกพี่มึงไป” ผมเอ่ยเสียงเหนื่อยๆ
“กูฝากด้วยละกันนะ”
ผมชำเลืองมองร่างบางนั้น ซึ่งตอนนี้นั่งชันเข่าขดตัวเป็นลูกแมวอยู่บนตักไอ้ธีร์ มือข้างที่ถูกผมตีแบอยู่ทาบลงกับแผ่นอกของไอ้ธีร์ หันฝ่ามือออกมาให้เห็นรอยปื้นแดงๆ ที่ยังไม่จางหายไป ส่วนมืออีกข้างกำเสื้อไอ้ธีร์แน่นใบหน้าหวานซุกเข้ากับแผ่นอกกว้าง ๆ เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าเปื้อนน้ำตาเป็นรอยเปียก เป็นดวงๆ เปรอะไปหมด