“แม่ขา...เราไปอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ กันฉามคนไหมคะ แก้วเกลียดพ่อ” แก้วกัลยาพูดถึงความรู้สึกตัวเอง แต่เธอรับรู้ว่าเด็ก ๆ ไม่ได้เกลียดเขา เพียงแต่ต้องการเขาให้หันมาใส่ใจมากกว่าใส่ใจคนอื่น
“กล้าก็เกลียด เราพยายามช่วยตัวเอง แต่พ่อกลับยินดีไปช่วยบ้านนั้น เชอร์รีลก็มีแม่เหมือนกันนะ” กล้ากวีรู้อะไรเป็นอะไรนานแล้ว อยากรู้อยากเห็นและเข้าใจแม่ที่สุด ต่อให้อายุแค่สี่ขวบก็ตาม เธอจึงดึงลูกสองคนเข้ามาโอบกอดไว้ ที่จริงเธอก็อยู่กับลูกได้ เพียงคิดว่าจะดีกว่าไหมหากมีเขาเป็นพ่ออีกคน
แต่วันนี้เธอได้คำตอบแล้ว ที่จริงไม่มีเขาเราก็อยู่ได้นะ
“อย่าคิดมากนะลูก เราสองคนก็รักพ่อไม่ใช่เหรอ” ภริตาพยายามปลอบแล้วค่อย ๆ สอนลูก ไม่อยากให้พวกเขาได้ชื่อว่าอกตัญญูต่อพ่อ
“รักด้วยแล้วก็เกลียดด้วย” กล้ากวีพูดจบก็ไม่ฟังแม่ สองเท้าป้อม ๆ เดินจ้ำอ้าวขึ้นไปบนห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำแต่งตัวลงมากินขนม ก่อนจะกินข้าวมื้อเย็น
เวลาสามทุ่มเธอนั่งอยู่ในห้องรับแขก หลังจากที่เอาลูก ๆ นอนแล้ว ในมือถือมองพอร์ตหุ้นที่มันโตขึ้นจนเลี้ยงตัวเธอเองกับลูกได้สบายแล้ว นับว่าโชคดีที่ฟังดนัยจึงเปิดพอร์ตซื้อหุ้นตัวที่ให้กำไรดี ๆ และฝากเขาดูแลจนมันโตขนาดนี้
เธอกำลังตัดสินใจบางอย่าง ไม่รู้ว่ามันจะดีไหม แต่ให้เวลาสามีถึงเที่ยงคืน หากเขาไม่กลับมาอธิบาย เธอก็จะตัดสินใจทำบางอย่างลงไป
กวินภพไปรับเชอร์รีลแทนกรต์สินี เพราะวันนี้เธอติดธุระด่วนไม่อาจจะไปรับได้ แล้วให้เขาช่วยดูแลให้สองชั่วโมง จึงฝากเลขาให้หาขนมหาน้ำให้ ส่วนตัวเขาก็เข้าประชุมปิดงบปีจนเวลาผ่านไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ก็รู้สึกเหนื่อยอยากกลับไปนอน จึงไม่คิดจะกลับบ้าน
เขาหยิบโทรศัพท์มองกล้องวงจรปิดที่บ้าน เห็นลูกชายลูกสาวนอนแล้ว แต่ไม่เห็นแม่ของลูก คงจะไปอาบน้ำ จึงไม่คิดโทรหาเพราะดึกแล้ว เขาจึงขับรถกลับคอนโดที่อยู่ใกล้กว่าทันที
เข็มยาวและเข็มสั้นของนาฬิกาในห้องรับแขกชี้เลขสิบสองตรงกัน บอกให้รู้ว่าเวลาที่เธอจะให้เขาได้แก้ตัวหมดลงแล้ว เธอตัดสินใจทำบางอย่างในทันที พร้อมกับกดเบอร์โทรออกหาเพื่อนอย่างเดชดนัย ให้ช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้จบสิ้นสักที
“แน่ใจแล้วใช่ไหม” เสียงปลายสายของเพื่อนทำให้เธอพ่นลมหายใจออก ไม่มีอะไรแน่กว่านี้อีกแล้ว
“อื้อ...อย่าเพิ่งบอกใครนะ เราจะไปอย่างเงียบ ๆ” เมื่อบ้านหลังนี้มันไม่มีอ้อมกอดของพ่อของลูกที่อบอุ่นอีกแล้ว เธอจะอยู่เพื่ออะไรไม่สู้ออกไปใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่าเหรอ
เวลาผ่านไปเธอยังคงทำหน้าที่แม่และพ่อของลูกได้ดี จนถึงวันงานกีฬาสี น้ำตาที่เคยไหลมาตลอดหลายปี มันเหือดแห้งเมื่อรับรู้จากปากลูกชายเรื่องที่เขาไปรับลูกของอดีตคนรักเก่าวันนั้น
เธอไม่อยากให้ลูกเป็นตัวตลกในสายตาครูและนักเรียนคนอื่นที่เอามาล้อเลียน ลูกชายและลูกสาวของเธอคงเจ็บช้ำไม่ต่างจากเธอนัก การที่มีเขาแล้วเป็นภาระหัวใจ สู้ไม่มีดีกว่าไหมแล้วไปรักษาใจกับลูกเงียบ ๆ
เธอขับรถไปพร้อมกับลูกชายและลูกสาวโดยถือว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เคยมีเขาเป็นวันสุดท้ายก็แล้วกัน
สองสามวันนี้เขาส่งข้อความมาบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ทำเลยคือโทรหาเธอและลูก นั่นทำให้เธอมั่นใจได้แล้วว่าเขาไม่ต้องการเธอและลูกอีก ความพยายามของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เป็นผล มันล้มเหลว ชีวิตครอบครัวพัง จิตใจเธอและลูกย่ำแย่ แต่วันนี้เราจะผ่านไปด้วยกัน
ตอนเช้ารถที่มาขนของที่จ้างไว้มารับของก่อนเธอออกมา เธอแพ็กทุกอย่างที่จะเอาไปใส่กล่อง และช่วยกันกับลูกขนมาด้านล่าง รวมทั้งติดต่อที่เรียนให้ลูกใหม่ไว้แล้ว จะถือโอกาสหยุดปีใหม่นี้เป็นการร่ำลาครั้งสุดท้ายในโรงเรียนเก่า
“แม่ฮะ...เราจะไปกันแล้วใช่ไหมฮะ” กล้ากวีนั่งดูดนมกล่องและก้มหน้าเศร้าไปด้วย แม้เขาจะเกลียดพ่อแค่ไหนเขาก็รักพ่อเช่นกัน เขามักต่อว่าพ่อเพื่อให้พ่อสนใจเขา รู้ว่าพ่อดุไม่ดีแต่นี่คือวิธีเดียวที่จะทำให้เขามีเรื่องต้องคุยกับพ่อ
“พี่กล้าต้องเข้มแข็งนะลูก แม่ยังเข้มแข็งเลย น้องก็จะเข้มแข็งเหมือนกัน” เสียงสั่นเล็ก ๆ แต่ยังประคองมันให้เปล่งจนจบประโยคได้ คนเป็นแม่รู้ดีว่าลูกชายรู้สึกอย่างไร
“ฮะ...พี่กล้าจะปกป้องแม่กับน้องเอง” กล้ากวีเป่าปากแล้วกำมือขึ้น จากนี้ไปพวกเราจะมีกันสามคนแม่ลูก ส่วนผู้ชายคนนั้นจะเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับพวกเรา
“แม่จะพยายามเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกเองนะ ไม่ต้องห่วง” เธอมองกระจกหลังเพื่อสบตาไปที่ลูก ๆ ที่หันมองหน้ากัน ท้ายรถของเธอมีกระเป๋าเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นเล็กน้อย ที่เหลือจ้างบริการรถขนส่งไปหมดแล้ว ก็ไม่หนักหนาอะไร จากนี้คือทำวันนี้ให้มันดีที่สุดก็พอ
สามแม่ลูกเดินจูงมือกันในชุดที่พร้อมเล่นกิจกรรม ภริตาซ่อนความเศร้าไว้มิดชิดไม่ให้ใครรู้ เธอเข้าไปคุยเรื่องย้ายบ้าน คงต้องพาลูกชายกับลูกสาวไปเรียนที่อื่นด้วย คุณครูใหญ่ก็ใจดีทำหนังสือส่งไปถึงที่โรงเรียนใหม่ให้ ทั้งรับรองผลการเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ให้กับลูกชายลูกสาวของเธอ
เมื่อเสร็จสิ้นธุระแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปในสนามกีฬาโดยมีลูกชายกับลูกสาวที่ร่วมลงเล่นด้วย แต่ว่าขาดคุณพ่อ เธอจึงให้พี่กล้ารอก่อนแล้วให้น้องแก้วเล่นรอบแรก
ผลการแข่งขันพบว่ารอบแรกน้องแก้วกับคุณแม่ตกรอบ เพราะวิ่งไม่ทัน แต่ทั้งคู่กลับดูมีความสุขกันมาก
“เอาล่ะพี่กล้า รอบต่อไปเป็นคิวเราสองคนแล้ว จะแข่งกับห้องอาเชอร์ด้วย” เธอได้ยินประกาศและบิ้วให้ลูกชายฮึกเหิมกับคู่ต่อสู้ต่างห้อง เพื่อจะได้แข่งขันอย่างสนุก
“ฮะ...พี่กล้าจะพยายาม” กล้ากวีกำหมัดชูขึ้นปลุกใจตนเอง แต่เมื่อคุณครูใบหม่อนเรียกนักกีฬาของห้องอาเชอร์ที่อยู่อีกฝั่งให้ลงสนาม สายตาของคุณแม่ลูกสองถึงกับผงะ!
“กล้า แก้ว นั่นพ่อเธอนี่ ทำไมไปอยู่ห้องอาเชอร์ล่ะ” เสียงใสซื่อของต้นหลิวเพื่อนร่วมเรียนของห้องฟีนิกซ์ทำให้ใบหน้าของกล้ากวีเศร้าสลด เมื่อหันมามองแม่ของเขาก็คงไม่ต่างกัน
กวินภพส่งยิ้มมาให้สามคนแม่ลูกฝั่งตรงข้ามพร้อมโบกมือให้ แต่ว่าเธอกลับยิ้มไม่ออก
“พี่กล้าเรากลับกันดีไหม น้องแก้วไม่สนุกแย้ว” แก้วกัลยามองหน้าเชอร์รีลที่แย่งพ่อไป ทั้งมองไปที่พี่ชายเพื่อขอความเห็น
“ไม่...เราต้องชนะ!” กล้ากวีแพ้ให้เชอร์รีลทุกเรื่อง กระทั่งพ่อก็ยังเสียให้ไป แต่เกมนี้กล้ากวีจะไม่แพ้
แววตาแสนเจ็บปวดมองไปยังชายที่ไม่สนใจไยดี ที่ส่งยิ้มมา และมองใบหน้าลูกที่เศร้าสลด เธอไม่น่ามาร่วมงานวันนี้เลยด้วยซ้ำ หากรู้ว่าจะมาเห็นเขากับคนของเขาฝั่งโน้น
เหล่าผู้ปกครองมองมาที่เธอทั้งแอบซุบซิบให้กัน เธอจะเดาไม่ออกได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นพูดเรื่องอะไร กวินภพไม่คิดอะไรแต่เธอหน้าด้านไม่พอ
“แม่ฮะ...ลงแข่งแล้วกลับกัน”
สุดท้ายขัดใจลูกชายไม่ได้จึงลงแข่งให้มันจบ แล้วเดินจากไป ถือว่าครั้งนี้มายินดีให้กับรักครั้งใหม่กับคนเก่าของเขา เธอและลูกหลีกทางให้...