ฉันได้แต่ถอนหายใจอยู่หน้ากระจกเมื่อคิดถึงตอนที่เปิดพินัยกรรมเมื่อสามเดือนก่อน ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณชีวินถึงทำแบบนี้กันแน่
“เฮ้ออ คุณชีวินคะ พี่ชินคงเกลียดฉันจนไม่อยากเจอหน้าแล้วล่ะ”
จะมีเจ้าสาวสักกี่คนที่ต้องตื่นมาบนเตียงคนเดียวทั้งที่เพิ่งแต่งงานและเข้าหอไปได้ไม่ถึงวัน แม่บ้านบอกว่าพี่ชินออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างและคงไม่กลับมาอีกพักใหญ่
มันเป็นเรื่องที่ฉันต้องเจอตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา พี่ชินพยายามหาทางที่จะไม่ต้องแต่งงานกับฉันและทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายเขาเลยต้องยอมทั้งที่ไม่ต้องการแม้แต่น้อย
“ฉันควรทำยังไงต่อดีนะ....”
ฉันรู้ว่าพี่ชินไม่เคยคิดอะไรกับฉันเกินกว่าคำว่าพี่น้อง มีแค่ฉันฝ่ายเดียวที่แอบรักเขามาตั้งแต่เมื่อก่อน ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ฉันก็ไม่เคยอยากให้เขาต้องมาตอบรับความรู้สึกของฉันสักหน่อย แค่ได้มองดูเขาอยู่ใกล้ ๆ มันก็ทำให้มีความสุขมากแล้วแท้ ๆ
“คิดไปก็ปวดหัว ออกไปทำงานดีกว่า”
แม้จะเพิ่งเข้าพิธีแต่งงานไปแต่ฉันไม่อยากหมกตัวอยู่แต่ในบ้านให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้อีกแล้ว เรื่องของพี่ชินไม่แน่ว่าถ้าฉันให้เวลาเขาสักหน่อยมันอาจจะค่อย ๆ ดีขึ้นก็ได้
ตอนนี้บริษัทของพี่ชินยังไม่มีคนขึ้นเป็นประธานแทนคุณชีวินที่เสียชีวิตไปฉันเลยต้องรับหน้าที่รักษาการณ์ชั่วคราวไปก่อนจนกว่าพี่ชินจะพร้อมเข้ารับตำแหน่ง แม้จะมีเสียงคัดค้านจากกรรมการคนอื่นแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะคุณชีวินได้จัดการทุกอย่างไว้ก่อนตายเรียบร้อยแล้ว
“สวัสดีค่ะ คุณนิตา”
“สวัสดีค่ะ”
ฉันเข้ามาทำงานที่นี่ตั้งแต่สมัยเรียนเลยเป็นที่รู้จักของพนักงาน เรื่องการบริหารก็ได้คุณชีวินนี่แหล่ะที่คอยช่วยสั่งสอนให้
“มีงานอะไรค้างเอาเข้ามาได้เลยนะ”
“ค่ะ คุณนิตา”
ฉันใช้เวลาทั้งวันในการเคลียร์งานทั้งหมดเพราะก่อนหน้านี้ต้องไปเตรียมงานแต่งงานเลยทำให้มีเอกสารตกค้างจำนวนหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งตะวันก็ตกดินไปแล้ว
“ป่านนี้แล้วเหรอ”
พนักงานทั้งหมดกลับบ้านไปแล้วเหลือแค่ฉันกับยามที่เฝ้าด้านหน้าเท่านั้น บรรยายเงียบเหงาของที่นี่แอบทำให้รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ตั้งแต่คุณชีวินเสียที่นี่ก็เปลี่ยนไปเยอะมากทุกคนต่างโศกเศร้ากับการสูญเสียครั้งนี้ คุณชีวินเป็นเจ้านายที่ใจดีและไม่เคยถือตัวกับลูกน้องเลย
“ป่านนี้ไม่รู้จักกลับบ้าน คิดจะทำดีเอาหน้าไปถึงเมื่อไหร่”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่คุ้นตา พี่ชินเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่แต่งกายเซ็กซี่และยั่วยวน
“พี่ชินขาา งั้นเราค่อยเจอกันใหม่นะคะ”
“ได้สิคนสวย”
เธอยืดตัวหอมแก้มเขาแล้วหันหลังเดินออกไป ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนกำหมัดอยู่แบบนั้น ในใจเจ็บแปลบ ๆ กับสิ่งที่พี่ชินทำ
“สวัสดีค่ะพี่ชิน”
“.....”
เขาไม่ตอบแต่กลับเดินผ่านไปเหมือนฉันเป็นเพียงอากาศธาตุ ฉันเลยทำได้แค่เดินตามเขากลับเข้าไปในห้องทำงานทั้งที่ก่อนหน้านี้ตั้งใจจะกลับบ้านแท้ ๆ
“อาทิตย์หน้าฉันจะเข้ามาทำงานที่นี่ เก็บข้าวของเธอออกไปซะ”
“คะ?”
“ฉันไล่เธอออกไง โง่จนฟังภาษาคนไม่ออกแล้วเหรอ”
“พี่ชิน....”
“หวังว่าอาทิตย์หน้าฉันจะไม่เห็นหน้าของเธอลอยไปลอยมาในบริษัทของฉันนะ นิตา สำเหนียกตัวเองหน่อยสิว่าเธอมันไม่ได้มีสิทธิ์ในที่แห่งนี้เลย”
คำพูดของพี่ชินเหมือนมีดที่กรีดหัวใจฉันซ้ำ ๆ เขาเย็นชากับฉันเหมือนเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกันและกันไม่มีผิด
“เข้าใจ...แล้วค่ะ”
“ออกไปได้แล้ว เห็นหน้าเธอแล้วฉันอยากจะอ้วก”
ตลอดการพูดคุยพี่ชินไม่แม้แต่จะมองหน้าฉันด้วยซ้ำ เขาก้มหน้าอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ ส่วนฉันก็ยืนนิ่งให้เขาไล่เหมือนยัยโง่คนหนึ่ง
“ค่ะ”
ฉันไม่อยากฟังอะไรที่ร้ายกาจจากปากเขาอีกแล้ว ตอนนี้ต่อให้พูดอะไรไปพี่ชินก็คงไม่ฟัง ฉันนึกว่าระหว่างเราอาจมีอะไรดีขึ้นแล้วแท้ ๆ
หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอกับพี่ชินอีกเลยตลอดสัปดาห์ เขากลับบ้านแค่ตอนฉันหลับและออกไปก่อนฉันตื่น ข่าวเรื่องที่ฉันลาออกและพี่ชินจะเข้ามาบริหารทำให้เกิดข่าวลือมากมายขึ้น
บ้างก็ว่าพี่ชินรักฉันมากจนไม่ยอมให้ทำงาน
บ้างก็ว่าพี่ชินจงใจไล่ฉันออกเพราะไม่อยากให้ฮุบบริษัทไป
ฉันไม่สนใจข่าวลือพวกนั้นหรอก ยังไงซะวันนี้ก็วันสุดท้ายที่ฉันจะทำงานที่นี่แล้วหลังจากนี้ฉันก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนี้อีก
“ไปดีมาดีนะคะ คุณนิตา”
“ขอบคุณนะคะ”
เลขาคนเก่าของคุณชีวินช่วยขนของมาใส่ท้ายรถ เธอเป็นคนที่หวังดีกับฉันมาตลอด ทั้งคอยช่วยเหลือเรื่องต่าง ๆ อีกด้วย
“ฉันฝากพี่ชินด้วยนะคะ”
“ได้เลยค่ะ ฉันจะช่วยดูแลท่านประธานให้”
เอาตรง ๆ ก็แอบใจหายไม่น้อยเพราะฉันก็ทำงานที่นี่มานาน ความทรงจำดี ๆ มีอยู่เยอะมากจนเล่าออกมาไม่หมดแต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้คำสั่งของพี่ชินถือว่าเป็นคำขาด
ครืดด ครืดด
“ว่าไงเนเน่
เนเน่ น้องสาวและญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของฉัน ปีนี้เธออายุ 19 ปีแล้วห่างกับฉัน 5 ปีและกำลังขึ้นมหาลัยปีหนึ่ง
(คิดถึงอ่ะ ไปหาไรกินกัน)
“ได้สิ เดี๋ยวพี่ไปรับที่หอนะ”
(อื้อ รีบมาน้าาา หนูหิวจะแย่แล้ว)
ฉันขับรถมุ่งตรงไปยังหอพักของน้องสาว ไม่นานก็มาถึงเพราะรถไม่ได้ติดมากอย่าที่คิด เนเน่เดินเข้ามาหาก่อนจะเปิดประตูขึ้นมานั่ง
“จะกินไรดีตัวแสบ?”
“เวลาแบบนี้ก็ต้องชาบูอยู่แล้วว”
“ร้านเดิมนะ”
“อื้อ ไปกันเล้ยยย”
เนเน่เป็นคนที่สดใสและร่าเริงเสมอไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ตาม เธอจะยังคงยิ้มและหัวเราะก่อนจะก้าวไปข้างหน้า เป็นคนที่ทำให้ฉันยังยืนหยัดได้
“ว่าแต่หลังจากนี้พี่จะเอาไงต่อ?”
เนเน่รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับพี่ชินแล้ว ตอนแรกเธอโมโหมากแล้วจะไม่ยอมให้ฉันแต่งงานด้วยซ้ำไปเพราะไม่อยากให้ฉันเสียใจแต่คนที่เลือกจะเดินเข้าพิธีแต่งงานก็คือฉันเองแม้จะรู้ว่าต้องเจอกับอะไรก็ตาม
“พี่ว่าจะหางานใหม่ทำ ไม่เป็นไรหรอกน่า ยังไงหลังพี่ชินเข้ารับตำแหน่งพี่ก็ว่าจะลาออกอยู่แล้ว”
มันเป็นความตั้งใจเดิมของฉันที่จะลาออกด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง นี่ก็แค่ไวกว่าที่คิดไว้นิดหน่อยเท่านั้น
“เขายังพูดจาทำร้ายพี่อยู่ไหม?”
“....”
“พี่นิตา พี่ไม่จำเป็นต้องทนด้วยซ้ำนะ!”
ฉันเข้าใจในสิ่งที่เนเน่พูดดีแต่ว่าลึกๆแล้วฉันเองก็อดยังคาดหวังไม่ได้ พี่ชินไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเขาแค่กำลังโกรธที่ถูกบังคับเท่านั้นเอง
“เนเน่ พี่ไม่เป็นไร”
ฉันพยายามทำให้น้องสาวตัวเองใจเย็นลงเธอเลยทำได้แค่แสดงท่าทีไม่พอใจแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เราเลือกมากินชาบูร้านโปรดตั้งอารมณ์ของเนเน่เลยดีขึ้นเรื่อย ๆ
“อร่อยไหมตัวแสบ”
“อื้ออ อร่อยที่สุดเลยยย”
เราสองพี่น้องไปเดินเล่นกันต่อที่ห้างในเมือง ต่างคนต่างเลือกชุดให้กันและกัน ว่าจะพากลับบ้านก็ดึกมากแล้ว
“งั้นกลับดี ๆ นะพี่ รักพี่นะ”
“พี่ก็รักเนเน่ ดูแลตัวเองดี ๆ นะ”
ฉันจอดรถส่งน้องจนเธอเดินเข้าตึกไปเรียบร้อยถึงได้ขับรถออกมา จะว่าไปก็ไม่ค่อยอยากกลับบ้านเท่าไหร่เลยกลับไปก็ไม่เจอใครอยู่ดี
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว สักแก้วก็น่าจะดี”
พอคิดได้แบบนั้นฉันเลยเปลี่ยนจุดหมายจากบ้านเป็นผับแห่งหนึ่ง ที่นั่นค่อนข้างมีชื่อเสียงและรับแต่ลูกค้าระดับสูง ฉันเองก็เป็นเมมเบอร์ของที่นี่แม้จะไม่ค่อยมาก็ตาม มันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฉันขับรถเลยใช้เวลาแค่ไม่ถึง 20 นาทีก็มาถึงแล้ว
สิ่งแรกที่สัมผัสได้หลังก้าวขาเข้ามาในผับคือเพลงที่กำลังเปิดให้ผู้คนโยกกายอย่างเมามันส์ แสง สี เสียงเรียกได้ว่าจัดเต็ม บรรดาแขกมากหน้าหลายตาต่างพากันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มไม่มีหยุด
“รับอะไรดีครับคุณผู้หญิง?”
“ขอโซนวีไอพีที่ส่วนตัวที่สุดค่ะ”
ฉันหยิบบัตรที่คุณชีวินทำไว้ให้ออกมาส่งให้กับพนักงาน เขารับไปพิจารณาดูก่อนผายมือเชิญไปยังห้องวีไอพี ถึงมันจะแพงไปหน่อยแต่สักครั้งในชีวิตฉันก็อยากลองทำอะไรแบบนี้บ้าง
“จะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”
“อืมม ขอเป็นพิงค์เลดี้แล้วกันค่ะ”
“ได้ครับ”
ผ่านไปสักพักบริกรก็เดินกลับมาพร้อมเครื่องดื่มสีสวยในถาดมันดูน่ากินและน่าลองมากเลย ถึงจะเคยดื่มพวกค็อกเทลมาบ้างเวลาเข้างานสังคมแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ดื่มเจ้านี่เลย
“ขอบคุณมากค่ะ”
บริกรโค้งคำนับก่อนจะเดินออกจากห้องไป ในห้องตกอยู่ใต้ความเงียบสงัด เสียงเพลงด้านนอกเองก็ไม่สามารถดังเข้ามาได้
“เฮ้อออ”
ฉันถอนหายใจยาวออกมาด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะยกเหล้าขึ้นมาจิบเล็กน้อย มันอร่อยและกินง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลย รู้ตัวอีกทีฉันก็ซัดหมดไปแล้ว
บริกรเองก็ค่อยมาเติมให้เรื่อย ๆ จนกว่าฉันจะสั่งให้หยุด บนโต๊ะเริ่มเต็มไปด้วยแก้วที่ว่างเปล่า จากหนึ่งใบเป็นสองใบและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีหยุด
แกร๊ก
“เอามาอีกได้เลยค่ะ”
ฉันส่งเสียงบอกพนักงานโดยไม่หันไปมองพลางยกแก้วเหล้าแก้วที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ขึ้นมาดื่ม พอกินก็หยุดไม่ได้เหมือนได้ปลดปล่อยความไม่สบายใจออกไปเลย
“หึ มายั่วผู้ชายคนอื่นทั้งที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เธอนี่มันเลวจริง ๆ”
“ครายยน่ะ.....”
“คนที่เธออยากได้เป็นผัวนักหนาไง”
ตอนนี้ฉันไม่มีแม้แต่แรงจะแกะมือที่กำลังบีบแขนด้วยซ้ำ ภาพตรงหน้าพร่าเลือนจนแยกแยะอะไรไม่ออก ในหัวมึนงงจนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
“ฉานนไม่มีผัวสักหน่อย....
“ไม่มีผัว?”
“โอ๊ยย!!!”
แรงบีบที่แขนทำฉันนิ้วหน้าด้วยความเจ็บก่อนที่เขาจะดึงฉันเข้าไปหาจนใบหน้าแทบจะชนกันอยู่แล้ว
“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำซากนะนิตา ทำตัวดี ๆ ให้สมกับอยากเป็นเมียฉันหน่อย”