“มีอะไรมาแลกเปลี่ยนล่ะ หัวใจเธอไม่เอาแล้วนะ มันไม่มีราคา” ถ้อยคำนี้ยิ่งกว่ามีคนเอาค้อนมาทุบศีรษะเสียอีก เขากำลังเปรียบว่าหัวใจเธอไร้ค่าสินะ
“อยากได้อะไร หวานให้หมด”
ภาธรนึกขันยิ่งนัก การยื้อเวลามันเปล่าประโยชน์ บุรุษตัวโตถอยห่างโดยไม่ได้ตอบอะไร พร้อมนึกสนุกกับสิ่งที่ร่างบางคิดจะทำ
เมื่อถึงเวลากลับ สรวิศก็เดินมาส่งลูกชายถึงหน้าบ้าน
“ถ้าเป็นเยอะไปหาหมอนะเจ้าธร อย่าปล่อยไว้” ถึงจะวางสีหน้าเรียบ ครั้งนี้ภาธรขานรับ
“ครับ”
แล้วคนสูงอายุที่สุดก็หันไปหาลูกสะใภ้
“หนูหวานจะอยู่ค้างที่นี่หรือ” เพราะแทนที่จะไปยืนข้างลูกชาย เจ้าหล่อนกลับมายืนข้างๆเขาแทนเหมือนมายืนส่ง
“ค่ะ”
“ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนลุงหรอก กลับไปดูแลเจ้าธรที่บ้านเถอะ”
ถึงอยากจะแย้ง ทว่าดูจากสถานการณ์แล้วทำตามคงดีที่สุด เพื่อไม่ให้ท่านสงสัยได้ หญิงสาวเดินตามภาธรมาขึ้นรถและนั่งเงียบจนใกล้จะถึงที่หล่อนต้องการลง
“หวานจะขอลงตรงปากซอย” เพราะตอนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว ที่สำคัญมันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทนนั่งอึดอัดไปตลอดทาง และเธอก็ไม่อยากให้เขารู้ที่อยู่ปัจจุบันด้วย
“ไม่อยากจะกลับบ้านฉันแล้วหรือ…ไปทำหน้าที่ที่พ่อฉันอยากให้ทำ”
“หวานไม่มีหน้าที่นั้นแล้ว…”
“ลืมไปหรือเปล่า หน้าที่นางบำเรอยังรอเธออยู่ ไปทำให้หน่อยคืนนี้”
ภาธรบอกเสียงนุ่ม ดวงตาวาววับไปด้วยความร้ายอย่างไม่เก็บซ่อน ปวริศารู้แก่ใจว่าเขาต้องการจะทวงหาข้อแลกเปลี่ยนที่ให้เขาการได้เหยียบหัวใจและทำให้เธอไร้ศักดิ์ศรี เขาคงรู้สึกดีเหมือนได้ธงแห่งชัยชนะ
บทที่ 2
เงา
“น้องหวานครับ ฝากเอกสารนี้ไปให้คุณธรเซ็นทีนะ ต้องใช้พรุ่งนี้เช้า เป็นงบเบิกจ่าย”
ศรันย์ยื่นเอกสารดังกล่าวให้ปวริศา ก่อนจะเอ่ยถึงสาเหตุที่ตนไม่สามารถนำไปให้ด้วยตัวเองได้
“พี่ฝากด้วย วันนี้พี่ต้องรีบไปพบลูกค้า”
“ได้ค่ะพี่รัน”
หล่อนรับมาและเหลือบไปมองนาฬิกา นาฬิกาบอกเก้าโมงเช้า ตอนนี้ภาธรคงมาทำงานแล้ว หญิงสาวจึงลุกจากเก้าอี้แล้วมุ่งตรงไปยังห้องทำงานของท่านประธานของบริษัท
แม้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เจ้าของห้องนั้นจะต้องพูดกระทบใจให้หล่อนเจ็บแต่หญิงสาวก็แยกออกว่านี่คือเรื่องงาน ดังนั้นจะบ่ายเบี่ยงไม่อยากเจอเขาไม่ได้
“น้องหวาน วันนี้คุณธรไม่เข้านะจ๊ะ” พอเห็นแฟ้มเซ็นอนุมัติในมือก็พอจะรู้ว่าคนตรงหน้าคงต้องขอเข้าพบเจ้านาย
พอได้ฟัง ปวริศาก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะปกติน้อยครั้งนักที่ภาธรจะไม่เข้าบริษัท พออรณิชาพูดต่อให้ทราบถึงสาเหตุ สีหน้าของปวริศาก็ดูเปลี่ยนไป
“เห็นบอกว่าไม่สบาย”
“เขาไม่สบายหรือคะ”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เพราะหากเขาไม่มาทำงาน แสดงว่าต้องเป็นมากทีเดียว คนรักงานอย่างภาธร ต่อให้ป่วยแค่ไหน หากยังมีแรงมาทำงานไหวก็จะมา
“ถ้ามีอะไรเร่งด่วนคงต้องเอาไปให้คุณธรเซ็นที่คอนโดฯ” อรณิชาว่าต่อ
พอพูดถึงที่นั่น หญิงสาวก็ดวงตาวูบไหว เพราะมันคือที่ที่เธอไม่เคยอยากจะไป
“เดี๋ยวพี่เอาไปให้เองจ้ะ” อรณิชาทราบเรื่องของภาธรและปวริศาดี จึงอาสาไปเองอีกอย่างเพราะปวริศาเป็นคนดี จึงอดสงสารไม่ได้
“หวานไปเองดีกว่า พี่ฝนกำลังท้อง ขืนโหนรถเมล์แล้วล้มไปคงแย่” เจ้าหล่อนแย้งและยิ้มให้ ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่ดูแล้วไม่สดใสหรือเต็มใจเลยก็ตาม
“จะดีหรือหวาน”
“หวานไปได้ค่ะ”
“งั้นขอบใจจ้ะ”
ปวริศากลับไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองก่อนจะมุ่งไปยังป้ายรถเมย์ คอนโดมิเนียมของเขาก็ไม่ได้อยู่ไกลจากที่ทำงานมากนัก สาเหตุนี้เขาถึงซื้อที่นั้น
นี่เป็นครั้งที่สองที่ไปที่นั่นไม่รู้ว่าใจจะเจ็บไปกว่าเดิมสักแค่ไหน หญิงสาวบอกตัวเองให้เข้มแข็งให้ได้มากที่สุด
ก๊อก…ก๊อก…
มือน้อยเคาะส่งสัญญาณ ทว่ารออยู่ร่วมห้านาทีกว่าประตูบานนั้นจะเปิดออก
เพียงเห็นหน้าคนที่มายืนหน้าประตูห้องของตัวเอง ภาธรที่อยู่ในชุดนอนก็เสยผมอย่างลวกๆ พร้อมกับร้องถามเสียงห้วนๆ หญิงสาวสังเกตเห็นว่ากระดุมเม็ดบนของอีกฝ่ายหลุดออก สีหน้าก็ไม่ได้ดูดีนัก ดูเพลียและอ่อนแรง
“มีอะไร”
“หวานเอาเอกสารมาให้เซ็นค่ะ ต้องใช้พรุ่งนี้” หล่อนบอก
“รออยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มหมุนตัวไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบปากกาด้ามหนึ่งมา ก่อนจะดึงเอกสารจากมือของปวริศามาแล้วเซ็นมัน
“ฝากบอกคุณฝนไปด้วยว่าพรุ่งนี้ฉันก็ไม่เข้าบริษัท”
“ค่ะ”
“เสร็จแล้วก็กลับไป”