ในระหว่างทางที่นั่งรถออกมาจากโรงพยาบาล ภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบเหมือนดั่งเช่นเดิม พริมานั่งชิดประตู หันมองออกไปยังด้านข้างอย่างเลื่อนลอย
ภายในสมองของหญิงสาว มีแต่คำพูดของคุณหมอที่แจ้งอาการของมารดา ตอนที่เธอเข้าไปเยี่ยมมารดาในห้องไอซียู ลอยเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า บีบคั้นหัวใจจนหญิงสาวเจ็บร้าวระบม
“คุณพิมพ์จะแวะซื้อของสดไหมครับ” เสียงของไมเคิล ดึงความคิดของพริมาให้กลับมา
“อ๋อ! คะ ค่ะ แวะค่ะ”
ไม่นานรถก็จอดสนิทลงที่หน้าห้างสรรพสินค้า ครั้นพริมาจะลงจากรถโดยไม่บอกไม่กล่าวเจ้าของรถ ก็ดูจะเป็นคนไร้มารยาทไปเสียหน่อย
“ฉันจะลงไปซื้อของนะคะ คุณกลับไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับไปเอง ขอบคุณไปส่งที่โรงพยาบาลค่ะ” เบญจมินไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ ยังคงนั่งก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือในมือของตัวเองต่อ
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ พริมาจึงถือว่ารับทราบและเข้าใจในสิ่งที่เธอเอ่ยออกไป หญิงสาวจึงเปิดประตูรถ เดินหายเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
เมื่อประตูรถปิดลง คนที่ทำเหมือนในโทรศัพท์มือถือมีเรื่องน่าสนใจมากมาย ก็เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์
“กลับ” ไมเคิลล่อกแล่กแล้วหนึ่ง เมื่อได้ยินคำสั่ง
“กลับเลยเหรอครับนาย ท่าทางคุณพิมพ์จะซื้อของเยอะนะครับ เพราะในครัวไม่มีอะไรเลย ผมว่าเรารอเธอก่อนดีไหมครับ”
“เป็นห่วงกัน” เสียงเริ่มไม่พอใจ เมื่อเห็นไมเคิลเหมือนจะออกตัวให้พริมาเช่นนี้
“ไม่ใช่ครับ ผมก็แค่คิดว่าของมันน่าจะเยอะแค่นั้นครับ ถ้าอย่างนั้นกลับเลยนะครับ” เบญจมินไม่ตอบ แต่เลือกที่จะปิดเปลือกตาลง ไมเคิลจึงพยักหน้าให้คนขับรถ ขับออกจากห้างสรรพสินค้าตามคำสั่ง
เมื่อมาถึงเพ้นท์เฮ้าส์ ไมเคิลก็นำไวน์มาเสิร์ฟให้เจ้านาย จากนั้นก็ขยับออกไปยืนอยู่ด้านข้าง เพื่อรอรับคำสั่งจากเจ้านายเผื่อต้องการอะไร
“ฉันไม่อยากได้อะไรแล้ว นายไปพักเถอะ”
“ครับนาย” โค้งศีรษะให้เจ้านายเล็กน้อย หมุนตัวเดินจะออกจากห้อง กำลังจะยื่นมือไปดึงประตูเปิดออก หากไม่ติดว่ามีเสียงของเจ้านายดังขึ้นมาเสียก่อน
“ให้ลูกน้องลงไปช่วยผู้หญิงคนนั้นถือของขึ้นมาด้วย” ไมเคิลอมยิ้มเล็กน้อย เดินกลับเข้ามาหาเจ้าของคำพูดอีกครั้ง
“นั่นแน่!! ที่แท้ก็เป็นห่วงเขา แล้วก็ทำเป็นใจร้ายไม่รอรับเขากลับมาพร้อมกัน ถามจริงๆ เลยนะครับ นายชอบคุณพิมพ์เหรอ ถึงได้ยกตำแหน่งเด็กเลี้ยงให้ และยังให้คุณพิมพ์มาอยู่ที่นี่อีก ทั้งที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้เข้ามาสักคนนอกจากคุณเฟ...” ไมเคิลหุบปากแทบไม่ทัน เมื่อตัวเองเผลอหลุดชื่อที่ไม่ควรเอ่ยออกมามากที่สุด
“ผมขอโทษครับนาย”
“ต่อไปก็อย่าพูดมากนัก เดี๋ยวปลายกระบอกปืนมันจะไปจ่อที่หัว”
“ขออีกเรื่องนะครับนาย คุณพิมพ์เธอไม่ได้ตั้งใจจะหว่านเสน่ห์อย่างที่นายพูดหรอกนะครับ เธอก็แค่ยิ้มทักทายตามมารยาทเท่านั้น ผมว่านายว่าเธอแรงเกินไป และเธอก็น่าจะโกรธนายนะครับ จะไม่ง้อเธอหน่อยเหรอ”
"ฉันเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แล้วนายเป็นใคร"
“ขอโทษครับ ผมขอตัวครับ” ก่อนที่จะไม่มีเงาหัวเพราะถูกปืนลั่นไกใส่จนตาย ไมเคิลก็รีบออกจากห้องไป ทิ้งเบญจมินให้นั่งจิบไวน์ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียดอยู่เพียงคนเดียว
เมื่อเข้ามาในห้องพัก พริมาก็ง่วนอยู่กับการจัดเก็บข้าวของ อาหารสดและแห้งให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ว่าตอนนี้เจ้าของห้องอยู่ที่ใด ขอทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อย เพราะวันนี้หญิงสาวเหนื่อยเกินทน
เมื่อจัดการกับข้าวของเสร็จเรียบร้อย ก็หันมาจัดเตรียมอาหารเย็นต่อ ร่างบางหมุนไปหมุนมาภายในห้องครัวอย่างคล่องแคล่ว โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองอยู่ภายในห้องนอน ผ่านทางหน้าจอไอแพด
สายตาคมมองคนที่เคลื่อนไหวไปมา ด้วยสายตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก พลันคำพูดของไมเคิลที่พูดไว้ก็ลอยเข้ามา
“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอเป็นยังไงกันแน่” พูดออกมาแค่นั้น จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายให้รู้สึกสดชื่น
เมื่อเดินออกมาจากห้องนอน ก็ได้กลิ่นความหอมของอาหารโชยออกมาจากห้องครัว และก็เป็นจังหวะเดียว กับที่พริมาเงยหน้าขึ้นมาจากการจัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดี
“อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ คุณจะทานเลยไหม” แม้จะขุ่นเคืองหรือไม่พอใจเบญจมินมากขนาดไหน
ทว่าพริมาคิดว่า หากเธอยังฉลาดมากพอ เธอควรสงบปากสงบคำ และก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเอง ให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวันให้ได้ เพราะเธอยังมีความจำเป็นต้องพึ่งพาเบญจมินอยู่มาก
“อืม” เพียงแค่นั้นที่กล่าวออกมา ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โต๊ะอาหาร พริมาจึงจัดการเทน้ำเย็นรวมไปถึงตักข้าวใส่จานให้ชายหนุ่ม
“ถ้าคุณทานเสร็จแล้วเอาวางไว้นะคะ เดี๋ยวฉันออกมาเก็บล้างเอง”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งทานอาหาร พริมาก็ขอเข้าใจไปเอง ว่าเบญจมินรับทราบเรียบร้อย หญิงสาวจึงปลีกตัวไปยังห้องนอนตัวเอง
เมื่อเข้ามาในห้องที่เปรียบเสมือนเซฟโซนเดียวของตัวเอง คนที่เหมือนทำตัวเข้มแข็ง ถึงกลับทรุดตัวลงนั่งที่เตียงอย่างคนหมดแรง หากเป็นแรงกายพริมารับไหวสบายมาก แต่นี่กลับเป็นหัวใจที่เหนื่อยล้าเกินจะรับไหว
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้า ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆ ไม่มีแม้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินสักนิด มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่ไหลอาบแก้มลงมา
“อวัยวะภายในของคนไข้ ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้วนะครับ โดยเฉพาะสมองที่ยังมีเลือดออกและบวมอยู่ สมองที่บวมขึ้นไปกดทับก้านสมอง ซึ่งมีความสำคัญในการควบคุมการรับรู้ และการตื่นตัว หมออยากให้ญาติทำใจเอาไว้บ้างนะครับ”
นี่คือประโยคที่ทำให้พริมาแทบล้มทั้งยืน เมื่อฟังคุณหมอแจ้งถึงอาการของมารดา
อาการของมารดาที่เธอรับรู้วันนี้ มันเสียดแทงและบีบรัดหัวใจเธอเกินไป เหมือนถูกมีดกรีดลงตรงกลางหัวใจซ้ำหลายรอบตรงที่เดิม ทำให้เธอเจ็บเจียนตาย เหมือนกำลังจะถูกมีดเล่มนั้นตัดขั้วหัวใจ แต่มันกลับตัดไม่ขาดเสียที ยังคงเชือดเฉือนให้เธอเจ็บอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ
ความกลัววิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจ หากไม่มีแม่อยู่แล้วเธอจะเป็นเช่นไร เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร ในเมื่อเธอและแม่มีกันแค่สองคน หันมองไปรอบกายคงว่างเปล่า เหน็บหนาว เคว้งคว้าง เหมือนลอยคอในทะเลกว้างใหญ่ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นใครสักคน