พริมายังคงตื่นมาทำหน้าที่ของตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่ เช่นเดียวกับเจ้าของที่นี่ ที่ตื่นเช้าไม่แพ้เธอเลย เพื่อมาออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ ที่ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกับการดำผุดดำว่ายอยู่ในสระ พริมาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม หุ่นของชายหนุ่มถึงได้อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อเช่นนั้น
“สวัสดีครับคุณพิมพ์ ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ” เสียงทักทายอย่างคนอารมณ์ดี ดึงสายตาของพริมา ที่มองเบญจมินว่ายน้ำอยู่ที่สระให้หันมามอง พร้อมกับรอยยิ้มหวาน ทว่าคิ้วเรียวก็เลิกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้ชายแปลกหน้าที่อยู่เคียงข้างไมเคิล
“ไม่ต้องสงสัยครับ นี่แมทธิวเป็นลูกน้องคนสนิทของเจ้านายอีกคน เพิ่งกลับมาจากอิตาลีครับ”
“สวัสดีค่ะ” พริมากล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร ทว่าชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก จนพริมาหน้าเสียหันมองไมเคิล
“นี่คุณพริมาเป็น...” ไมเคิลอึกอัก เมื่อต้องกล่าวถึงสถานะของพริมา
พริมาเห็นท่าทางอึกอักพูดไม่ออกของไมเคิล ก็พอจะรู้ว่าชายหนุ่มลำบากใจที่จะพูด เธอจึงขอเสียมารยาทแนะนำตัวเอง
“สวัสดีค่ะ พิมพ์เป็นผู้หญิงของเจ้านายคุณแมทธิว รวมทั้งเป็นแม่บ้านดูแลความเรียบร้อยของที่นี่ด้วย ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เรียกพิมพ์ว่าพิมพ์เฉยๆ ก็พอค่ะ ไม่ต้องมีคุณหรอก” พริมาส่งยิ้มทักทายเป็นมิตรไปให้
“ครับ”
“แมทธิวมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ พูดน้อยและชอบทำหน้าไร้ความรู้สึก เพราะฉะนั้นคุณพิมพ์ไม่ต้องแปลกใจนะครับ ถ้าพูดกับแมทธิวแล้วมันจะไม่พูดอะไรตอบกลับ เป็นเรื่องปกติมากๆ เลยครับ” พริมาอมยิ้มขบขัน มองหน้าแมทธิวสลับกับหน้าของไมเคิล
“ที่คุณแมทธิวไม่พูด ไม่ใช่เพราะว่าคุณไมเคิลพูด จนคุณแมทธิวไม่มีโอกาสพูดใช่ไหมคะ” คำพูดของพริมา ทำให้แมทธิวหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ ส่วนไมเคิลก็ยิ้มแห้งยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เขิน
“โธ่พิมพ์อะ พูดซะผมเขินเลย”
“คุณไมเคิลกับคุณแมทธิวทานอะไรมาหรือยังคะ ถ้ายังพิมพ์จะได้ทำเผื่อ” ไมเคิลยิ้มหน้าระรื่น นานๆ จะมีสาวสวยทำกับข้าวให้ทานสักที ลาภปากไอ้ไมเคิลดีแท้
และภาพตรงหน้า ก็ทำให้คนที่ยืนดูผ่านกระจกจากภายนอก หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เปิดประตูกระจกเดินเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เมื่อวานก็ยิ้มให้ลูกน้องที่อยู่ด้านนอก วันนี้ก็ยิ้มให้ไมเคิลกับแมทธิว หัวเราะต่อกระซิกกันสนุกสนาน จนไม่เห็นว่าเขาขึ้นมาจากสระว่ายน้ำตั้งนานแล้ว มันน่าหงุดหงิดนัก
“ใครอนุญาตให้แกสองคนเข้ามาในนี้ ถ้าฉันออกมา แล้วยังเห็นพวกแกสองคนอยู่ในห้องนี้ โดน! ส่วนเธอเข้ามาแต่งตัวให้ฉัน” พูดเสียงห้วนคาดโทษด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องของตัวเองไป
ทิ้งให้คนทั้งสามหันมามองหน้ากัน ด้วยความงุนงงกับอารมณ์ร้ายของเจ้านาย โดยเฉพาะพริมาที่หน้าเสียไปเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะรีบปรับให้เป็นปกติ และส่งยิ้มแห้งไปให้ชายหนุ่มทั้งสอง
“พิมพ์รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวเจ้านายจะอารมณ์เสียอีก ถ้าเกิดพิมพ์ไปช้า”
“ค่ะ”
คนที่เรียกให้พริมามาแต่งตัวให้ ยืนเท้าเอวมองออกไปด้านนอกกระจก เมื่อเห็นพริมาเปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับมาหาทันที
“คุยอะไรกันนักหนา”
“คุยกันธรรมดาทั่วไปค่ะ คุณไมเคิลแนะนำคุณแมทธิวให้ฉันรู้จัก”
“หึ!” พริมาอดที่จะหมั่นไส้ คนอารมณ์เสียแบบไร้เหตุผลไม่ได้ ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเธอแค่พูดคุยกับไมเคิลและแมทธิว ทำไมเบญจมินจะต้องทำเหมือนไม่พอใจเธอหนักหนา อีกทั้งผู้ชายสองคนนั้นก็เป็นลูกน้องของเขาแท้ๆ
แต่ก็เป็นเรื่องของเขา ทางที่ดีเธอควรรีบทำหน้าที่ของเธอให้เสร็จจะดีเสียกว่า จึงเลือกที่จะเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เสื้อผ้า เผื่อเตรียมชุดให้ชายหนุ่ม
“มาแต่งตัวเถอะค่ะ เดี๋ยวไปทำงานสายนะคะ” เมื่ออีกคนร้อน พริมาคิดว่าเธอควรจะเย็นเหมือนดั่งสายน้ำ แม้ในใจเธอจะร้อนระอุเหมือนดั่งเปลวไฟก็ตาม
“อย่าให้ฉันเห็นอีกนะ ว่าคุยสนิทสนมกันแบบนี้” หลุบสายตามองคนที่กำลังสวมเสื้อให้ตัวเอง คนถูกสั่งเผลอย่นจมูกใส่คนไร้เหตุผล
“คุณจะไม่ให้ฉันมีเพื่อนเลยหรือไงคะ อยู่ที่นี่คนเดียวฉันก็เหงานะ ออกไปไหนก็ไม่ได้ จะให้คุยกับโต๊ะเก้าอี้ เตียงนอนหรือไง” ช้อนสายตาขึ้นมอง พร้อมกับใบหน้าที่งอง้ำลงเล็กน้อย บ่นอุบอิบให้คนเอาแต่ใจ
ทว่าท่าทางและประโยคประชดประชันของพริมาที่แสดงออกมา ทำให้เบญจมินใจเต้นแรงอย่างไรก็ไม่ทราบ ทำไมเธอทำแบบนี้แล้วดูน่ารักเป็นธรรมชาติวะ
“จะคุยก็ให้มันพอดี” เมื่อได้คำอนุญาต คนที่กำลังติดกระดุมเสื้อจึงเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ รอยยิ้มที่ทำให้เบญจมินหัวใจกระตุกขึ้นมาชอบกล
“ค่ะ”
“แค่นี้” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันไม่เข้าใจ เอียงคอมองหน้าเบญจมิน
ชายหนุ่มจึงเฉลยความต้องการที่มากกว่าการตอบรับ ด้วยการจุมพิตลงบนกลีบปากของหญิงสาว ริมฝีปากหยักขบเม้มหยอกเย้ากลีบปากสวยแผ่วเบา โอบกระชับเอวคอดเข้ามาใกล้
ก่อนจุมพิตหวานนุ่มนวลจะไต่ระดับความเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนพริมาหายใจหายคอแทบไม่ทัน ร้องครางอื้ออึงในลำคอ เพื่อประท้วงให้ชายหนุ่มปรานีเธอบ้าง ปล่อยให้เธอหายใจหายคอสักหน่อย
“นี่คือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอควรจะหัดเรียนรู้ ว่าการเป็นผู้หญิงของฉันต้องทำยังไง”
ใบหน้างามแดงระเรื่อ มือที่วางบนแผ่นอกกว้างก็เหมือนจะสั่นน้อยๆ จนต้องรีบเอาลงไว้ข้างลำตัว ก่อนจะผละออกไปหยิบกางเกงมาส่งให้ชายหนุ่ม ที่ก็รับมาถือไว้แต่โดยดี และอารมณ์ดีขึ้นจากเดิมอยู่มาก เมื่อสามารถทำให้คนตรงหน้าเขินอายได้
“คุณคะ วันนี้ฉันขออนุญาตไปเยี่ยมแม่ได้ไหม”
“เดี๋ยวให้แมทธิวพาไป" คำตอบที่ได้กลับมา ทำให้คนฟังเผลอยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ขอบคุณนะคะ” รอยยิ้มของคนตรงหน้า ทำให้เบญจมินรู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม้รอยยิ้มนั้นเธอจะไม่ได้ยิ้มให้เขาก็เถอะ แต่มันก็อดจะรู้สึกดี จนเขาอยากจะยิ้มตามออกมาเช่นกัน
เดี๋ยวให้แมทธิวพาไปคงไม่ใช่ทันทีทันใด เพราะตอนนี้เบญจมินเรียกตัวแมทธิวมาพบที่ห้องทำงาน เพื่อสอบถามถึงงานที่ตัวเองให้ไปจัดการที่อิตาลี
“งานที่นู่นเรียบร้อยดีใช่ไหมแมทธิว”
“อืม”
“แล้วนายจะเอายังต่อครับ จะปล่อยให้ไอ้ฟรานซ์มันได้ใจแบบนี้ต่อไปเหรอ” ไมเคิลเอ่ยถามขึ้นด้วยความร้อนใจ
คันไม้คันมืออยากจับปืนเสียเต็มประดา เบญจมินสายตาลุกวาว เหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อย สายตาแบบนี้ รอยยิ้มแบบ นี้ทำให้ลูกน้องทั้งสองรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
“ปล่อยให้มันได้ใจไปก่อน ฉันอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทำอะไรต่อไป”
“แต่ผมกลัวมันจะยิ่งฮึกเหิม ทำมากกว่าครั้งที่ผ่านมาน่ะสิครับ อีกอย่างผมกลัวว่ามันจะทำอะไรคุณหนู” ไมเคิลก็ยังไม่คลายความกังวลลง
เพราะรู้ดี ว่าคนอย่างฟรานซ์ไม่ต่างจากหมาลอบกัด และยังเป็นหมาที่กัดไม่ปล่อยซะด้วย รอบนี้วางเพลิงโกดังเก็บของ เเล้วรอบหน้าจะทำอะไรร้ายแรงกว่านี้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้
เบญจมินกัดกรามกรอด เมื่อคิดว่าศัตรูสุดที่รัก เพื่อนรักเพื่อนชั่วที่เล่นสกปรก ดึงน้องสาวของตนเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อแก้แค้น หากเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มคงได้ระเบิดหัวมันแน่
“เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำ คือจับตาดูมะลิทุกฝีก้าว อย่างแนบเนียนที่สุด และถ้ามันทำอะไรมะลิแม้แต่ปลายเล็บ ฉันเป่าหัวมันกระจุยแน่”
“ไม่รู้มันจะฝังใจเจ็บอะไรนักหนานะครับ ถึงได้จองล้างจองผลาญนายแบบนี้ ทั้งที่เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย แล้วเรื่องมันก็ผ่านมานานเกือบสิบปีแล้ว”
“ก็เพราะว่ามันคิดว่าฉันเป็นคนทำยังไงล่ะ ไอ้นี่มันหมาบ้า สั่งคนของเราจับตาดูมันให้ดี ได้เรื่องอะไรคืบหน้าให้รีบมารายงานฉัน โดยเฉพาะเรื่องที่มันเข้าไปวุ่นวายกับมะลิ”
“ครับนาย”
“ไปนะ พิมพ์รอแล้ว” แมทธิวพูดแทรกขึ้น จากนั้นก็เดินออกจากห้องทำงานไป ท่ามกลางสายตาของเบญจมินและไมเคิลที่มองตามหลังแมทธิวไป
“บางทีผมก็สงสัยนะครับ ว่าแมทธิวมันไม่อึดอัดบางเลยหรือไง วันๆ พูดอยู่แค่ไม่กี่คำ ถ้าเป็นผมคงน้ำลายบูดแน่ๆ”
“บางทีฉันก็สงสัยนะ ว่านายไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือไงไมเคิล พูดมากจริง” พูดจบก็ลุกเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ทิ้งให้ไมเคิลให้นั่งอ้าปากค้างอยู่กลางห้องเพียงคนเดียว
“พูดมากตรงไหนวะ”