อารัมภบท
พ่อมักบอกกับผมเสมอว่าหากเราคุมอำนาจได้ เราจะอยู่เหนือมัน แต่เมื่อใดก็ตามที่ยอมให้อำนาจครอบคลุมเรา เมื่อนั้นเราจะก็ไม่ต่างไปจากเครื่องมือของกิเลส ที่มีแต่จะสร้างหายนะไม่จบไม่สิ้น
เพราะคำสอนนี้ ทำให้ผมตั้งตนอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยเศษซากของการคอร์รัปชัน และกลิ่นเหม็นสาบของความไร้อารยธรรมได้ ยอมรับตรง ๆ ว่าผมไม่ใช่คนดีเต็มร้อย มันก็ต้องมีคล้อยตามบ้างดังเช่นไผ่ลู่ลม แต่กับบางสิ่งบางอย่าง ผมก็ต้องงัดกับมัน ถ้าผมเห็นว่าไม่สมควร อย่างเช่นเรื่องนี้...
“เสี่ยครับ ช่วยออกมาได้หมดแล้วครับ”
เสียงของไอ้บอล ลูกน้องคนสนิทเอ่ยบอกหลังจากที่เปิดประตูห้องเข้ามา และเอ่ยรายงานถึงสถานการณ์สำคัญที่ผมเพิ่งมอบหมายให้มันไปจัดการ นั่นคือการชิงตัวผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังจะถูกลักลอบส่งออกไปนอกประเทศเพื่อค้าประเวณี จริง ๆ แล้วสิ่งนี้ผมไม่ควรยุ่งด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ต่างไปจากการแกว่งเท้าหาศัตรู แต่จะให้ผมนิ่งเฉยได้ยังไง ในเมื่อไอ้นุทินมันกำลังค้ามนุษย์ สิ่งนี้นับเป็นความชั่วช้าที่ผมไม่อาจหลับหูหลับตาได้ ที่ผ่านมา ผมกับมันก็มีเรื่องบาดหมางกันมาตลอด แต่เราไม่เคยเอาจริงเอาจังกันเลยสักครั้ง มากสุดก็แค่ผลักกันไปผลักกันมา ไม่มีฝ่ายไหนยอมง้างมือขึ้นมาชกก่อน ไม่ใช่ว่าผมขี้ขลาดหรือเกรงกลัวต่อความดิบเถื่อนของมัน แต่ผมแค่รอจังหวะที่เหมาะสม ที่จะสามารถล้มมันได้ทั้งราก เอาให้สิ้นซาก ไม่มีโอกาสได้ผุดต้นใหม่ขึ้นมาอีก
“ครบยี่สิบคนใช่ไหม”
ผมปรายหางตามองลูกน้องครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างตามเดิม มือข้างขวาคีบบุหรี่เอาไว้หลวม ๆ ก่อนจะยกมันขึ้นสูบอัดเข้าเต็มปอด พลันพ่นควันสีจางออกมาลอยโขมง
“ครบครับเสี่ย”
ไอ้บอลผงกหัว แต่กลับทำสีหน้าหนักอกหนักใจ ราวกับมีบางสิ่งที่ต้องการจะรายงานให้ผมรู้
“เสี่ยจะออกไปดูไหมครับ”
“ไม่ พาผู้หญิงไปหลบในที่ปลอดภัย ถ้าสถานการณ์ปกติแล้วให้พากลับไปส่งบ้าน หรือถ้าใครไม่อยากกลับบ้าน ก็ถามเขาว่าอยากให้ไปส่งที่ไหน”
“เอ่อ... เสี่ยไปดูหน่อยไหมครับ”
คราวนี้มันกุมมือแน่น ราวกับกดดันกับบางอย่างที่พบเจอ ท่าทางของมันทำให้ผมแปลกใจ จนต้องหันกลับไปมองหน้ามันตรง ๆ
“ทำไม?”
“นะ หนึ่งในยี่สิบคนนั้น มีคุณนับดาวด้วยครับ”
“...”
มือที่กำลังยกบุหรี่ขึ้นทาบริมฝีปากหยุดชะงักกลางอากาศ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหูดับก้องอยู่ในหัว ผนึกก้อนหินที่จับตัวอยู่ก้อนเนื้อที่กลางอกเริ่มสั่นไหว ผมนึกว่าใจของผมมันตายด้านไปแล้วเสียอีก ห้าปีเต็ม ๆ ที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงชื่อนี้ให้ผมได้ยิน นึกไม่ถึงเลยว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แม้แต่ชื่อของเธอ ก็ยังมีอิทธิพลต่อใจของผมไม่คลาย
“พาเธอเข้ามา”
แม้ว่าชื่อนี้จะยังมีผลกระทบต่อความรู้สึกของผมอยู่มาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องแสร้งทำเป็นเมินเฉย พลันยกปลายบุหรี่ที่สั้นเพียงข้อนิ้วจิ้มลงที่กระถาง จากนั้นก็หยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบต่อเพื่อลดความประหม่า
ทันทีที่ไอ้บอลได้รับคำสั่ง มันก็รีบหายออกไปจากห้องพักหนึ่ง รอไม่นานมันก็เดินกลับเข้ามาพร้อมผู้หญิงผิวขาวผ่อง รูปร่างผอมเพรียว เนื้อตัวดูมอมแมมเล็กน้อย อาจจะเกิดจากการแย่งชิงตัวเมื่อไม่นานมานี้ เธออยู่ในชุดกางเกงยีนสีเข้ม เสื้อยืดสีขาวลายหมี ชุดพื้น ๆ ที่ชอบใส่เป็นประจำ ทุกอย่างที่อยู่ในร่างกายเธอแทบไม่เปลี่ยน เพียงแค่ดูซูบผอมไปเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความสวยในตัวเธอถดถอยลงไปเลยสักนิด
“ออกไปก่อน”
ผมพเยิดหน้าบอกลูกน้องคนสนิท ก่อนจะอัดนิโคตินเข้าปอดคำใหญ่ไล่ความประหม่า จากนั้นก็ทิ้งบุหรี่ลงไปในกระถางอีกครั้ง
“ไหนตอบมาซิ ว่าเธอตั้งใจมาขายตัวเพราะสิ้นไร้ไม้ตอก หรือเพราะไอ้ผัวใหม่มันกระจอกถึงขนาดต้องเอาเมียมาเร่ขายกิน?”
คนถูกถามยืนห่างออกไปเกือบห้าก้าว แต่กระนั้นก็ใกล้พอให้ผมได้มองเห็นว่าเธอกำลังตัวสั่นไหวด้วยความกลัวเคล้ากังวล มือเล็กจับประสานกันไว้ที่ด้านหน้า ในขณะที่เอาแต่ก้มมองปลายเท้าของตัวเอง ไม่ยอมเชิดคางขึ้นมาเผชิญหน้ากัน
“ฉันถาม!”
ปัง!
เฮือก
เสียงมือกระทบโต๊ะดังลั่นห้อง ส่งผลให้ผู้หญิงตรงหน้าสะดุ้งโหยง รีบเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างหวาดระแวง แววตาที่แดงก่ำบ่งบอกว่าเธอเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก และตอนนี้เธอก็กำลังพยายามจะฝืนต้านทานน้ำตาของตัวเองเอาไว้อยู่
“ถ้าไม่ตอบ ฉันจะเอาเธอกลับไปให้พวกไอ้ทินเดี๋ยวนี้แหละ”
ไม่พูดเปล่า ผมรีบเดินไปชิดตัวพลางคว้าข้อมือ ทำทีจะกระชากแขนคนตัวเล็กออกไปจากห้องจนเธอต้องยอมปริปากพูดในที่สุด
“ฉะ ฉันถูกพาไปขาย”
เธอตอบเสียงแผ่ว พร้อมกับพยายามจะรั้งข้อมือของตัวเองเอาไว้
“ใคร?”
ผมกดเสียงต่ำถามอย่างเดือดดาล บอกตามตรงว่าไฟที่สุมอกเริ่มประทุตั้งแต่รู้ว่าเธอคือหนึ่งในยี่สิบคนที่ชิงตัวมาได้แล้ว
“ถามว่ามันเป็นใคร! จะได้ไปฆ่าถูกคน”
“...”
นับดาวชะงักพลางจ้องมองหน้าผมนิ่ง ก่อนที่จะกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบากจนผมสังเกตได้
“มะ ไม่มี ฉันไปของฉันเอง ฮึก ฉันแค่อยากได้เงิน”
เธอเริ่มสะอื้นร้องไห้ แต่ก็ยกมืออีกข้างที่ว่างเว้นจากการถูกผมจับข้อมือขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างทันท่วงที ผมไม่สามารถเดาได้จริง ๆ ว่าเธอตอบความจริงหรือเปล่า หรือเพียงแค่ต้องการปกป้องผู้ชายคนใหม่ของเธอกันแน่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้ มันยังเป็นคนเดียวกับไอ้คนก่อนหรือเปล่า... คนที่เธอบอกว่ารักมัน จนยอมกราบเท้าไหว้วอนขอให้ผมเลิกกับเธอด้วยดี
“อยากได้เงิน? อยากได้เท่าไหร่”
ผมดันลิ้นใส่กระพุ้งแก้มไล่ความฉุนเฉียว พร้อมกับจ้องเขม็งที่แววตาคู่สวยที่กำลังฉ่ำน้ำตา แต่เธอกลับเอาแต่หลบตาระงับเสียงสะอื้น นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“ถามว่าเท่าไหร่!”
ผมตะคอกใส่หน้าพร้อมกับบีบแก้มของเธอเชิดขึ้นจนปากยู่ แต่กระนั้นนับดาวก็ยังเอาแต่เม้มปากแน่น มองตาผมด้วยแววตาสั่นระริก ไม่ยอมตอบอะไรออกมาอีก
“ห้าพันพอไหม ฉันจะช่วยซื้อให้ แต่มากกว่านี้คงไม่ไหวจริง ๆ เพราะสภาพเธอตอนนี้...”
ผมไล่สายตามองไปทั่วร่างบางที่สั่นไหวด้วยความกลัว ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น
“คงโชกโชนมาเยอะ”
คนถูกต่อว่าไม่แม้แต่จะเถียงหรือปกป้องตัวเอง นั่นไม่ได้ต่างจากการที่เธอยอมรับว่ามันคือความจริงเลย
“จริง ๆ ห้าพันคงไม่ได้ด้วยซ้ำมั้ง แต่ฉันจะอนุเคราะห์ซื้อเพราะสมเพชก็แล้วกัน”
ผมสะบัดมือจากแก้มนุ่มจนเธอหน้าหันไปตามแรง ก่อนจะล้วงมือเปิดกระเป๋า หยิบธนบัตรสีเทาขึ้นมาห้าใบแล้วฟาดใส่หน้าของนับดาวที่ยังอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูก และยังไม่ทันที่เธอจะได้เตรียมใจ ก็ถูกผมกดตัวลงบนโซฟาสีน้ำตาลเข้ม แล้วทาบลงไปบดจูบอย่างหื่นกระหายราวกับเสือร้ายร้ายหมายมั่นจะขย้ำเหยื่อให้จมเขี้ยวอันแหลมคม
“ฮึก อื้ออ พะ พี่ทศ ฮึก ฮืออ”
คนใต้ร่างขัดขืนทันที พร้อมกับยกมือขึ้นมาปัดป่ายไม่ยอมให้ผมได้ทำอย่างใจหวัง แต่กลับถูกผมจับข้อมือเล็กตรึงแขนใส่โซฟาแน่น แล้วเลื่อนพรมจูบไปทั่วลำคอขาว ก่อนจะฝังร่องรอยสีแดงเข้มเป็นจ้ำเพื่อประจานความไร้ยางอายของเธอ
“ดาวไหว้ล่ะพี่ทศ ฮืออ อย่าทำแบบนี้”
เสียงไหว้วอนนั้นไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนลงเลย จนกระทั่งเธอหยุดดิ้นไปเสียดื้อ ๆ มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ปานจะขาดใจที่ดังอยู่ข้างหู ผมที่กำลังล้วงมือเข้าไปในเสื้อตัวบางต้องยอมหยุดชะงัก แล้วเพ่งมองดูน้ำตาของเธอไหลอาบแก้มอย่างทรมานใจ
จะมีครั้งไหนบ้างไหมดาว ที่ฉันไม่แพ้น้ำตาเธอ...
“เธอนี่เหมือนเดิมเลยนะ เอากี่ครั้งก็ไม่มัน”
ผมต่อว่าอย่างหัวเสียแล้วลุกพรวดออกไปจากร่างบางที่นอนราบไปกับโซฟา พลันยกมือขึ้นมาลูบหน้าลูบตาอย่างลวก ๆ เพื่อเรียกสติ
“โทษทีนะ ใจจริงก็อยากช่วยอนุเคราะห์อยู่หรอก แต่สภาพเธอตอนนี้มันเน่าเฟะเกินไป จนฉันกลับไปกินซ้ำไม่ลงจริง ๆ”
ผมพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้ ก่อนจะเดินออกจากห้อง ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองว่าเธอลุกขึ้นมาจัดแจงเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยหรือเปล่า
ทั้งที่ผมพยายามจะทำให้เธอได้สัมผัสกับรสชาติความเจ็บปวด แต่ทำไมกันนะ ทำไมถึงเป็นผมเสียเอง ที่เจ็บไม่ต่างไปจากวันแรกที่เธอหยิบมีดขึ้นมากรีดหัวใจ ผมต้องกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่เลยใช่ไหม ถึงจะลืมเธอได้จริง ๆ จัง ๆ สักที...