เวลาผ่านไปจนเที่ยงคืนในวันอาทิตย์ ดวงตาของวารุณีแข็งจนไม่อาจจะข่มตาลงได้ หูคอยฟังแต่เสียงรถว่าเขาจะกลับมานอนกับเธอไหม สุดท้ายรอจนหลับก็ไร้เงาคนที่คอยพะเน้าพะนอเธออยู่สองวันก่อน
วารุณีคิดว่าเขาก็แค่เห็นเธอเป็นของเล่นค่าเวลา เมื่อตัวจริงกลับมา ตัวสำรองอย่างเธอก็ถูกเขี่ยทิ้งเป็นเรื่องธรรมดา
เวลาแปดโมงเช้าแล้ว ทั้งที่เป็นเวลาที่เธอต้องอยู่ที่ทำงาน แต่กลับไม่รู้สึกอยากกลับไปทำงาน เพราะว่าไม่อยากเห็นหน้าใครบางคน อีกอย่างเขาไม่มาแล้วก็ดี เธอจะได้ไปหาหมอ แล้วก็เก็บของเขาใส่กระเป๋าเอาไว้ให้ เวลาเขามาเอากลับจะได้ไม่ต้องเข้าบ้าน
เธออาบน้ำเสร็จแล้ว ก็ลากกระเป๋าเอาไปไว้หน้าบ้าน แล้วขึ้นรถซีดานของตัวเองไปโรงพยาบาล เธอเลือกไปแผนกสูติเพื่อตรวจครรภ์ โดยพบว่าตัวเองท้องมา 12 สัปดาห์แล้ว โดยเธอไม่สงสัยในอาการอะไรที่แปลกไปของตัวเองเลยสักนิดเดียว
“ยินดีกับคุณแม่ด้วยนะครับ จะฝากท้องเลยไหมครับ เดี๋ยวผมให้พยาบาลจัดการให้” คุณหมอสอบถามนั่นทำให้วารุณีตัดสินใจทันที เพราะจะได้นัดมาในครั้งต่อไปและเธอจะได้ยาบำรุงร่างกาย ส่วนเรื่องงานเธอเลือกจะขาดงานไปเลยแล้วกัน เดี๋ยวครบสามวันเขาก็ตัดเธอออกจากพนักงานเอง อีกอย่างเดือนนี้ก็ได้เงินเดือนแล้ว แล้วเธอก็มีเงินเก็บเยอะพอสมควร พักผ่อนอยู่หาอะไรทำนิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอแล้ว
หลังจากพ่อกับแม่เสียชีวิตนอกจากประกันชีวิตที่ได้มาก้อนใหญ่ เธอก็เลือกเอาไปลงทุนส่วนหนึ่ง กับเก็บไว้แล้วเงินจากการเป็นเซลล์ขายรถของเธอที่ได้รับส่วนแบ่งการขาย เธอก็ได้เก็บไว้อีกบัญชี จนตอนนี้เธอไม่ได้ลำบากอะไรนัก บ้านก็มี เลือกอยู่บ้านเฉย ๆ ก็มีเงินกินเลี้ยงลูกได้
คิดได้เสร็จแล้วเธอก็กรอกเอกสารการฝากครรภ์ ส่วนช่องบิดานั้นเธอเว้นว่างไว้ แล้วเลือกบอกกับคุณพยาบาลด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ฉันเป็นซิงเกิ้ลมัมค่ะ ไม่มีพ่อของลูก”
คุณพยาบาลเข้าใจเรื่องนี้ดีแล้วก็ยิ้มให้ เพราะเดี๋ยวนี้ตั้งครรภ์ไร้บิดากันก็มาก ถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่เมื่อกำลังจะเก็บเอกสาร ปรากฏเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“แล้วผมยืนหัวโด่นี่เป็นหมาหรือไง” ภิภักดิ์ไม่ได้กลับไปนอนบ้านเธอ เพราะเขาเพิ่งจัดการเรื่องระหว่างหยาดฟ้ากับตัวเองจบเมื่อคืน รอเพียงข่าวเช้านี้แล้วเขาจะเรียกเธอไปคุย แต่ได้คำตอบจากแผนกเซลล์ว่า วารุณีไม่มาทำงาน แล้วไม่ลาด้วยทำให้เขาตามไปถึงบ้านเจอกระเป๋าตัวเองวางอยู่หน้าบ้านก็หงุดหงิดแล้ว เขาจึงลองตามมาที่โรงพยาบาลที่พาเธอไปคราวนั้น พบว่าเธอมาอยู่นี่จริง ๆ
“คุณ!” วารุณีตกใจ ใครจะคิดว่าเขาจะรู้ว่าเธอมาฝากครรภ์ เมื่อเช้าไม่ได้ลาเขาก็น่าจะไม่สนใจแล้วนี่ แล้วมาแบบนี้เธอจะโกหกยังไง
“จำสามีตัวเองไม่ได้แล้วเหรอ” ภิภักดิ์กระซิบเสียงรอดไรฟัน จนหญิงสาวขนลุก
เขามาแบบนี้ก็รู้แล้วนะสิว่าเธอโกหก... เธอพยายามไม่สบตาจนเมื่อพยาบาลสาวถามย้ำอีกครั้งเรื่องพ่อของลูก
“สรุปว่าเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวใช่ไหมคะ” พยาบาลมองหน้าสองสามีภรรยา คาดว่าคงมีเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่หากให้ดีครอบครัวก็ควรมีพร้อมหน้าถึงจะถูก
“ผมเป็นพ่อของลูกเธอครับ เดี๋ยวผมกรอกเอง” เขาดึงเอกสารไปเขียนชื่อตัวเองลงในช่องบิดา แล้วหันมองเธออย่างคาดโทษ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนั่งรอรับยาด้วยความเงียบทั้งคู่ เมื่อได้ยินเสียงเรียกรับยา เขาก็จัดการจ่ายด้วยตัวเอง แล้วก็จับมือเธอให้เดินไป แต่กลับโดนเธอขืนไว้ก่อน
“ฉันขับรถมาเอง...”
“โอเค...กลับถึงบ้านค่อยคุยกัน”
น้ำเสียงของเขาไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโกรธเธอแค่ไหนที่เธอโกหก แต่เธอก็ย้อนเวลาไปแก้ไขไม่ได้แล้วนี่นา จะให้เธอทำอย่างไรอีก ใครจะคิดว่าคนอย่างเขาจมูกจะไว้ขนาดนี้ ดมกลิ่นตามเธอมาถึงโรงพยาบาลได้
รถสปอร์ตหรูวิ่งตามรถซีดานของภรรยาไปจนถึงบ้าน เมื่อเธอดับเครื่องยนต์แล้ว ประตูก็ได้รับการเปิดจากเขาทันที เธอปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างเงียบ ๆ นั่งลงตรงโซฟารอว่าเขาจะพูดอะไร
ดวงตารู้สึกพร่าเล็กน้อย คงเพราะขับรถแล้วก็คิดเรื่องระหว่างเรามาตลอดทางจนเครียด เธอนั่งสูดยาดมเช่นเคยแล้วก็นอนเหยียดยาวที่โซฟา
ภิภักดิ์ตั้งใจจะมาคุยให้รู้เรื่อง แต่เมื่อเห็นสภาพร่างกายของเธอแล้ว เขาก็เลือกจะอุ้มเธอเข้าไปในห้องนอนเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ
“นอนในห้องจะได้สบาย ผมให้ช่างมาจัดการเรื่องแอร์ในห้องรับแขกแล้ว”
ใครจะยอมให้เมียกับลูกอยู่ร้อน ๆ อากาศเมืองไทยมันเข้าใกล้จุดเดือดเข้าไปทุกวัน เขายังไม่อยากทนแล้วจะให้เมียทนได้อย่างไร
“ไม่ต้องลำบากหรอก ฉันไม่เป็นไร” วารุณีพูดเสียงอ้อมแอ้มเพราะมีความผิดที่กล้าโกหกเขาเรื่องไม่ได้ท้อง ตอนนี้ไม่เสี่ยงกระตุกต่อมโมโหเขาจะดีกว่า
“ผมไม่ได้ลำบากอะไร คุณพักผ่อนก่อนเถอะ ตื่นมาจะได้สดชื่นแล้วเราค่อยคุยกัน”
เดี๋ยวค่อยคุยเป็นคำเรียบ ๆ แต่ทำไมคนฟังรู้สึกหนาวโดยไม่ต้องเปิดแอร์เลยทีเดียว อยากนอนไม่อยากตื่นเลย ยอมรับว่าจิตใจตัวเองตอนนี้ยังไม่เต็มร้อย แล้วเขาก็ไม่กลับมาตั้งแต่เมื่อวาน ยิ่งทำให้ชัดเจนแล้วว่าเขาจะเลือกใคร
เธอนอนหลับตาแต่หัวคิ้วยังขมวดชนกันด้วยคิดไม่ตกจนสุดท้ายก็หลับไปจริง ๆ
ด้านนอกภิภักดิ์จัดการให้คนมาติดแอร์จนเสร็จเรียบร้อยแล้วทดสอบความเย็นทั้งเปลี่ยนกลอนประตูให้แน่นหนาขึ้น แล้วก็ประตูหน้าบ้านก็ติดแบบที่มันเปิดอัตโนมัติ จะได้ไม่ต้องลงไปเปิด เวลาที่เธออยากกลับมาบ้าน จะได้อยู่อย่างสบาย เพราะอีกไม่นานเขาก็จะพาเธอไปอยู่ด้วยกันที่บ้านของเขาแล้ว
ชายหนุ่มทำทุกอย่างจนเหนียวตัวแล้วก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เขารื้อเอาเสื้อผ้าใส่เข้าในตู้เหมือนเดิม หันกลับมาดูบนเตียงร่างของเมียกำลังพริ้มหลับอย่างสบายใจก็อดยิ้มไม่
เขาเลือกสั่งอาหารให้มาส่งแทน แล้วตัวเองก็กระโดดขึ้นเตียงไปกกเมีย ลดอุณหภูมิให้เย็นฉ่ำจิตนอนหลับพักผ่อนไปกับเธอด้วยเช่นกัน
ผ่านไปจนเย็นแล้วเขาก็ยังไม่เห็นเธอตื่นจึงต้องปลุกด้วยริมฝีปากที่ซุกไซ้ไปตามซอกคอหอมกรุ่น จนเธอร้องประท้วง
“อื้อ...คุณ...” วารุณีลืมตามาก็เจอเขาที่กำลังลวนลามทำให้ต้องหดคอหนีแล้วมุดเข้าใต้ผ้าห่ม ส่วนคนที่เห็นท่าทางหนีของหญิงสาวแล้วก็อมยิ้ม
‘คืนนี้จะเล่นผีผ้าห่มให้ดู’
“ตื่นได้แล้วเย็นแล้ว ผมสั่งอาหารมา ทานเสร็จกินยาแล้วค่อยนอน” ต่อให้เมียจะนอนทั้งวันเขาก็ไม่ติดแต่กลางคืนช่วยทำให้เขาหายอึดอัดก็พอ
“คุณไม่กลับบ้านเหรอ” เสียงอู้อี้ใต้ผ้าห่มถามเขา แล้วค่อย ๆ โผล่ออกมาเพียงลูกตามองเขาอย่างชั่งใจสักครู่
“บ้านเมียอยู่นี่จะให้ผัวไปนอนที่ไหนล่ะครับ”
“เมียอะไร...ฉันไม่ใช่คุณหยาดฟ้าเสียหน่อย”
“ยังไม่เห็นข่าวสินะ” ภิภักดิ์หยิบมือถือขึ้นแล้วส่งให้เธออ่าน ข่าวที่เป็นประเด็นร้อนวันนี้เรื่องไฮโซสาวแซ่บกับนักร้องหนุ่ม สุดท้ายทั้งคู่ก็ออกมายอมรับว่าคบกัน เธออ่านแล้วส่งมือถือให้เขาคือ แต่กลับไม่พูดอะไรจนเขาร้อนใจ
“อ่านแล้วไม่รู้สึกอะไรหน่อยเหรอ”
“ไม่...”
“ไม่อะไร” เขาคาดคั้นต่อ นี่เขาต้องใช้ความไม่เป็นสุภาพบุรุษจัดการ โดยส่งรูปให้กับนักข่าวที่รู้จักกันเล่นข่าวเชียวนะ เพื่อสลัดหยาดฟ้าให้หลุดจากวงโคจรเขา
“ไม่รู้ไม่ชี้”
วารุณีซ่อนยิ้มแล้วก็เดินออกมาด้านนอก รู้สึกหิวขึ้นมาทันที