13
แค่รับผิดชอบชีวิตเธอ
ใช่... เขาไม่มีทางปล่อยเธอออกไปเผชิญโลกภายนอก จนกว่าเธอจะแข็งแรงใช้ชีวิตเองได้ และข้างนอกปลอดภัยพอ หมอที่ทำงานคู่กับกฎหมายอย่างเขารู้ดีว่าบางครั้งกฎหมายก็ไม่ยุติธรรมเสมอไป มีหลายครั้งที่คนมีเงินเล่นสกปรกในวงการแพทย์และตำรวจ
ถ้ามันยุ่งยากนักก็จัดการมันด้วยวิธีที่พวกมันจัดการใบชาจะเป็นไรไป เขาเองก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว แถมมีเงินเหลือเฟือ
“พ่อขอให้วิธีนั้นเป็นวิธีสุดท้าย มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
ปรินซ์พยักหน้าตอบเบาๆ สายตาพ่อของเขาเลยมองไปที่ใบชาอีกคน รู้เรื่องมาหมดแล้วเด็กคนนี้น่าสงสารมาก
“หนูไม่ต้องกลัว ต่อไปนี้หนูจะเจอแต่คนที่หวังดี”
มีความอุ่นใจเกิดขึ้นมาลึกๆ เธอบีบแขนหมอปรินซ์เล็กน้อย มองสบตาไปที่พ่อของเขาจนอีกฝ่ายเผยยิ้มให้แล้วเดินออกไปจากห้องแล็บ
พ้นสายตาพ่อหมอปรินซ์จึงจับมือเธอออกทันที
“ออกไปกินข้าวให้เสร็จ แล้วดูวิดีโอในเพลย์ลิสให้จบ”
“แล้วคุณหมอล่ะคะ”
“ฉันจะออกไปทำธุระข้างนอก”
เมื่อเธอเอาแต่มองเขาตาละห้อย มือใหญ่ก็จับแขนดึงออกไปจากห้องแล็บไปที่โต๊ะกินข้าวเช่นเดิม ก่อนที่หมอปรินซ์จะไปคว้าสูทสีดำตัวหลวมสวมทับเชิ้ตสีขาวที่เขาใส่อีกที และเลือกหยิบกุญแจรถ
ใบชามองตามคนตัวสูงขณะที่มือถือช้อนกับส้อมค้างไว้
เธอไม่อยากให้เขาไปไหนเลย...
และตาที่จับจ้องใบหน้าที่หันตามก็ทำให้อีกคนรับรู้ได้ นายแพทย์หนุ่มจึงหยุดยืนอยู่หน้าประตู แล้วหันกลับมามองหน้าเธอด้วยสายตาไม่บอกอารมณ์
“ถ้าง่วงก็อาบน้ำนอนไปก่อน”
“คุณหมอจะกลับมาหาใบชาอีกเมื่อไหร่คะ”
“ไม่รู้ แต่ฉันจะดูเธอผ่านกล้องเป็นระยะ ห้ามออกไปไหน ห้ามเปิดประตูให้ใคร”
เมื่อใบชาพยักหน้าตกลงช้าๆ เขาก็หันกลับแล้วเปิดประตูออกไป หมอปรินซ์เดินไปขึ้นรถปอร์เช่ไทคานน์ที่จอดอยู่ที่โรงรถ รถคันนี้เป็นรถไฟฟ้าเงียบต่อการจอดสอดแนมที่สุด เขาขับออกไปจากบ้านทว่าจุดหมายปลายทางไม่ใช่ที่โรงพยาบาล แต่เป็นวัดที่จัดงานศพใบชาอยู่ วันนี้สวดวันสุดท้ายพรุ่งนี้เผา เขาอยากไปดูลาดเลาก่อนลงมือทำอะไรบางอย่าง
ทว่าทุกไฟแดงนายแพทย์หนุ่มจะหยิบมือถือขึ้นมาดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่บ้าน ภาพที่เห็นทำให้ขัดอกขัดใจเหลือเกิน เขาออกมายี่สิบนาทีแล้วใบชายังนั่งอยู่ที่เดิม จานข้าวยังวางอยู่ตำแหน่งเดิม นอกจากเธอไม่กินมัน เธอยังนั่งยกขาขึ้นมากอดเข่าตามองไปที่ประตูบ้าน
หมอปรินซ์ถอนหายใจออกมากับตัวเองอย่างเหนื่อยใจ เขาคงต้องเร่งมือทุกอย่าง ก่อนจะตัดใจขยับนิ้วกดโทรหาเพื่อนสนิทของเขาผ่านพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน
ซึ่งเป็น ‘มาเฟีย’
(มีอะไร)
ออสตินรับสายด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมก่อนจะแยกย้ายกันช่วงมหาวิทยาลัย หมอปรินซ์เรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยรัฐบาลที่ขึ้นชื่อว่าโด่งดังและเข้าเรียนยากที่สุด ส่วนออสตินเรียนวิศวะยานยนต์ในมหาวิทยาลัยของครอบครัวตัวเอง ชื่อ LDZ ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้ตระกูลของเขาก็มีหุ้นส่วนด้วย
L ย่อมาจากไลออน กลุ่มมาเฟียทรงอิทธิพลที่รักความถูกต้องและรักสงบซึ่งเป็นกลุ่มของออสติน
D ย่อมาจากดรากอน มาเฟียที่พร้อมสู้ทุกสถานการณ์ สองกลุ่มนี้เป็นญาติและพันธมิตรกัน อำนาจจึงยิ่งใหญ่และมีแต่คนยำเกรง
และ....
Z คือ ZER Group ธุรกิจห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงงานผลิตเหล้า และธุรกิจมากมายของครอบครัวลูกศรแม่ของหมอปรินซ์
ถ้าเขาจำไม่ผิดเห็นจากเข็มกลัดบนเสื้อนักศึกษาชัญญ่าและมล ใบชาคงเรียนที่ LDZ ที่ตระกูลเขาเป็นหุ้นส่วนอยู่
อะไรก็ฉุดหมอปรินซ์ไม่ได้ถ้าเขาจะลงมือทำ เรื่องนี้จึงต้องพึ่งมาเฟีย ซึ่งเขาเป็นแบบไหนเพื่อนก็ไม่ต่างกัน นิ่ง เย็นชา เก็บตัว เด็ดขาดในการตัดสินใจ ก่อนหน้านี้หมอปรินซ์ได้ช่วยตรวจดีเอ็นเอและต่อจิ๊กซอว์ให้คดีฆาตกรรมของแม่เอวาที่เป็นแฟนของออสติน
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เขาจะทวงบุญคุณ ใช้อิทธิพลมืดมาช่วยใบชาบ้าง...
ยื่นจมูกเข้ามาเสือกเรื่องนี้เอง ทำเธอฟื้นขึ้นมาเอง เขาต้องรับผิดชอบ
“กูมีเรื่องอยากคุย”
(เรื่อง?)
“กูทำให้ผู้หญิงคนนึงฟื้นจากความตาย แน่ๆเธอถูกฆาตกรรม”
ปลายสายไม่ได้ตกใจเลยสักนิด รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนสนิททดลองไปเรื่อย หมอปรินซ์เล่าเรื่องให้ออสตินฟังคร่าวๆ ถึงภาพที่เห็นทั้งหมดตั้งแต่ชันสูตร และหลักฐานที่มีอยู่
(กูอยู่ที่ท่าเรือ มาคุยต่อที่นี่)
ท่าเรือไม่ไกลเท่าไหร่ เขากดวางสายแล้วเปลี่ยนเส้นทางขับไปที่นั่นทันที มาถึงโดยรอบเต็มไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์ตั้งซ้อนเรียงกัน มีเครนกำลังยกตู้ลงจากเรือขนส่งที่เทียบท่าอยู่
หมอปรินซ์จอดรถที่ท้ายรถหรูที่มีบอดี้การ์ดยืนอยู่หลายคน ก่อนที่จะลงจากรถเดินผ่านบอดี้การ์ดที่ก้มคำนับไปหยุดยืนข้างๆคนตัวสูงใส่สูทที่กำลังยืนสูบบุหรี่ทอดสายตามองไปที่เรือ
ออสตินส่งบุหรี่ให้โดยไม่หันมามอง เขารับมาคาบไว้และหันไปให้บอดี้การ์ดป้องมือจุดไฟให้
หมออย่างเขาไม่ได้รักสุขภาพเท่าไหร่ สูบบ้าง ดื่มบ้าง และนอนดึกบ้าง แต่จะเอานิโคตินเข้าปอดจริงจังก็ตอนที่ตัวเองต้องใช้ความคิดหนักๆเท่านั้น
ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าและจางไปกับสายลม ก่อนที่อีกคนจะถามขึ้นมา
“ให้กูฆ่าเลยไหม” คำถามนั้นถูกใจเขาจริงๆ หมอปรินซ์ยกยิ้มที่มุมปาก
“หึ... ยัง ตอนนี้กูอยากได้แค่คนคอยจับตามองบ้านหลังนั้นก่อน อยากรู้ว่านอกจากคนในบ้านที่ลงมือ มันมีใครอีกบ้างที่เข้าออกบ้านนั้นบ่อยๆ”
เขาแอบคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ลุงป้า พี่สาว และคู่หมั้นของใบชาที่ลงมือทำและรู้เห็น
“รอบคอบสมเป็นมึง”
“ผลประโยชน์มันคงกว้าง ก่อนที่จะส่งผู้หญิงคนนั้นออกไปใช้ชีวิต กูไม่อยากให้เหลือพวกมันสักคน”
ออสตินหันมามองหน้าเพื่อนของเขาแล้วพยักหน้าเบาๆ
“อืม พรุ่งนี้กูจะส่งลูกน้องไปให้ มึงสั่งการได้เลย”
นายแพทย์หนุ่มคีบบุหรี่สูบและพ่นควันออกมาโขมง จากนั้นค่อยๆปรายสายตามามองหน้าเพื่อนของเขาด้วยสายตานิ่งเรียบไม่ต่างกัน
“ขอบเขตการสั่งการอยู่ระดับไหน?”
“ฆ่าได้ แต่ต้องมีแผน”
เท่านั้นแหละริมฝีปากสวยก็ค่อยๆระบายยิ้มออกมาอย่างเลือดเย็น
“ดี... กูชอบเก็บหลักฐาน มันตื่นเต้น”
»——————•♛•——————«
หลังจากที่พบเพื่อนและคุยกันเรียบร้อย หมอปรินซ์ก็ขับรถไปยังเป้าหมายเดิมคือวัดที่จัดงานศพอยู่ ตอนนี้ไม่มีใครทันสังเกตรถเขา เพราะมาถึงก็จอดริมสุดและรถไฟฟ้าก็เงียบจนไม่มีใครได้ยิน
เขาดับไฟเสร็จก็พลิกข้อมือดูนาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มจึงหยิบมือถือจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูทขึ้นมาดูกล้องวงจรปิดในบ้านอีกครั้ง
แต่สิ่งที่เห็นทำให้สองนิ้วเรียวต้องซูมดูใกล้ๆ และเลื่อนดูเวลาที่ผ่านมา ร่วมสามชั่วโมงแล้วที่เขาออกมาจากบ้าน ใบชาก็ยังนั่งอยู่กับจานข้าวไข่เจียวเหมือนเดิม และข้าวก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย สายตายังมองไปที่ประตูรอคอยเขากลับบ้านนั่งอยู่ท่าเดิม
เขาเอนพิงเบาะแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ ยัยนั่นจะติดเขาแจไปถึงไหน พรุ่งนี้เขาต้องไปทำงานที่โรงพยาบาลและเข้าบริษัท อยากจะนั่งรอไม่ทำอะไรทั้งวันก็เชิญตามสบายเถอะ
ซื่อบื้อจริงๆ
มือถือยังคงเปิดกล้องวงจรปิดทิ้งไว้ แต่เขาเคลื่อนสายตาไปมองฝั่งศาลา ตอนนี้พระกำลังสวดศพทุกคนจึงไม่มีใครสังเกตเขาหรือมีใครรอรับแขก แต่ทว่าหางตาอันเฉียบแหลมกลับเห็นคนสองคนเดินไปที่ข้างโบสถ์ที่อยู่ตรงข้ามกับท้ายรถเขาแวบๆ หมอปรินซ์หันมองตามทันที
และเขาก็เจอกับอะไรบางอย่างเข้า
สองคนนั้นยืนหันข้างคุยกันอยู่ในที่มืด
แต่สีผมไม่ผิดแน่ ชัญญ่าเพื่อนของใบชากำลังยืนคุยกับโดมด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่ เขามองไม่เห็นไม่ได้ยินว่าคุยอะไร แต่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทุบอกแรงๆ คล้ายกำลังโวยวายอยู่
และสิ่งที่ทำให้สายตาเขาเคลื่อนกลับไปที่ศาลาอีกครั้งก็คือมล... ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินออกมาและคงชะเง้อหาเพื่อนอยู่ เมื่อเธอเดินมาที่โบสถ์ สองคนที่แอบอยู่ก็ดึงมือกันไปอีกทางหลบเธอ มลหยุดยืนยกมือถือกดโทรหา เมื่ออีกฝ่ายคล้ายจะไม่รับก็เดินกลับไปที่ศาลาอีกครั้งด้วยท่าทางร้อนใจ
ตอนนี้สายตาของนายแพทย์ปรัชวิชญ์แทบจะฉีกคนพวกนั้นเป็นชิ้นๆ เขาเคลื่อนสายตาเรียบนิ่งกลับมามองมือถือในมือ ยิ่งเห็นใบชายังนั่งอยู่ยิ่งรู้สึกโกรธแทน ภาพตอนที่เห็นเธอครั้งแรกผุดขึ้นมาในหัว เธอตายและพูดอะไรไม่ได้ มีคนรอรับผลประโยชน์มากมาย ไม่ต่างจากผู้หญิงที่โดดเดี่ยวบอบบางคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหอกจะแทงเข้าข้างหลังเมื่อไหร่
มีใครจริงใจกับเธอบ้างไหม...
ยัยโง่