และตอนนั้นเองที่อริสราได้ยินเสียงปืนก่อนจะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำคือการย่องเข้ามาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เธอมองเห็นทุกอย่างชัดเจนผ่านแสงไฟดวงเดียวในห้อง ชายร่างสูงใหญ่ถือปืน เลือดที่กระเซ็นเลอะเสื้อเชิ้ตสีขาวและศพที่ล้มแน่นิ่งไปต่อหน้า
เธอมือสั่นจนโทรศัพท์ร่วงลงพื้นเสียงดัง ตุ้บ!
เสียงนั้นก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบงัน และเหมือนเป็นหายนะที่ทำให้พงศ์วิชญ์หันขวับมาทางเงามืด
สายตาคมเฉียบของเขาประสานกับดวงตาหวาดกลัวของเธอเพียงเสี้ยววินาที...ก่อนจะตะโกนออกมา
“ใครน่ะ!”
ลูกน้องหลายคนหันขวับ เสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามา เธอหันหลังหมายจะหนีไปให้ไกล แต่ถูกคว้าข้อมือไว้แน่นจนเจ็บแสบแล้วลากตัวไปหาพญามัจจุราชที่ยืนรออยู่ด้วยดวงตาดำมืด
“กรี๊ด! ปล่อยหนูนะ ปล่อยหนู! หนูไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
เสียงเธอสั่นเครือ น้ำตาไหลไม่หยุดเพราะความกลัวแล่นเข้ามาจนถึงขั้วหัวใจ ลูกน้องเขากดแขนเธอแน่นไม่ต่างจากนักโทษ เธอดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นทุกที
แล้วเขาก็ก้าวออกมาจากเงามืด...ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาที่แสนเย็นชา ดวงตาคมเฉียบเต็มไปด้วยอำนาจที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะตายทั้งที่เขายังไม่ได้แตะต้องเธอแม้แต่ปลายเล็บ
สายตาทั้งคู่สบกัน...เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นแต่เหมือนเวลาหยุดหมุนไปในทันที
อริสราตัวสั่นราวลูกนกที่กำลังจะถูกเหยี่ยวเชือด หยาดน้ำใสๆ เอ่อคลอทั้งสองตากลมที่สั่นไหวเพราะความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
“เธอเป็นใคร” น้ำเสียงกระด้างเอ่ยถามขึ้น แต่มันคงไม่ทำให้เธอตกใจกลัวได้เท่ากับปลายกระบอกปืนที่เล็งมาตรงหน้าผากของเธออย่างไม่ทันตั้งตัว
“หนู...หนูแค่ผ่านมาค่ะ หนูไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ปล่อยหนูไปเถอะนะคะ หนูกลัวแล้ว...”
“ฉันถามว่า...เธอ...เป็นใคร”
ปลายกระบอกปืนขยับเข้าใกล้เธอกว่าเดิมเหมือนจะบอกว่าหากเธอยังตอบไม่ตรงคำถาม ความอดทนของเขาอาจจะสิ้นสุดลงตรงนี้พร้อมกับลมหายใจของเธอ
“หนู...หนูชื่ออายค่ะ อริสรา วัฒนกุล อายุยี่สิบเอ็ดปี หนูเป็นเด็กเสิร์ฟที่ผับใกล้ๆ นี่เอง หนูเพิ่งเลิกงานก็เลยกลับทางนี้ คือหนูกลับทางนี้ทุกคืนนะคะ เพราะมันเป็นทางลัดไปหอพักที่ใกล้ที่สุด คุณ...ปละ...ปล่อยหนูไปเถอะนะคะ หนูสัญญาว่าจะไม่บอกใครว่าหนูเห็นอะไรบ้าง แค่...ปล่อยหนูไปนะคะ หนูยังไม่อยากตาย หนูเป็นแค่เด็กกำพร้า พ่อแม่ก็ตายหมดแล้วตั้งแต่หนูอายุสิบห้า หนูยัง...ยังเรียนมหา’ลัยแล้วก็ต้องหาค่าเทอมเองด้วย” เธอบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองเท่าที่จะนึกออกตอนนี้และหวังว่าจะได้รับความเมตตาจากเขาแม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี
“น่าสนใจดีนี่” เขาเหยียดยิ้มมุมปาก ปลายนิ้วที่คุ้นเคยกับไกปืนชะงักอยู่เพียงชั่ววูบ ก่อนที่เขาจะยื่นปืนให้กับลูกน้องคนหนึ่งไปถือไว้ และนั่นก็ทำให้เธอเริ่มใจชื้นขึ้นมา
“ขอบคุณค่ะที่ยอมปล่อยหนู”
“ฉันบอกเหรอว่าจะปล่อยเธอไป”
“อ้าว แต่คุณ...”
“พาเธอไป ถ้าเธอหนีก็ยิงทิ้งได้เลย”
“ครับเฮีย”
เมื่อได้รับคำสั่ง ลูกน้องของเขาจึงได้ใช้ปืนกระบอกนั้นจี้ที่เอวของเธอเหมือนเป็นสัญญาณว่าหากเธอกล้าร้องหรือคิดหนี ก็เตรียมรับความตายได้เลย และเมื่อเธอเข้ามาในรถตู้คันหนึ่งแล้ว พวกเขาก็หาผ้ามาปิดตาและปิดปากเธอไว้ เหมือนไม่อยากให้เธอเห็นว่าพวกเขาจะพาเธอไปที่ไหนกันแน่...
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่เมื่อผ้าผืนนั้นหลุดออกจากดวงตา อริสราก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่ในห้องหรูหราที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง แต่สำหรับเธอมันคือกรงทองที่น่ากลัวที่สุด
หญิงสาวยังไม่ทันได้มองไปรอบห้องเสียงประตูห้องก็ดังขึ้นและนั่นก็ทำให้เธอต้องกระถดตัวถอยหลังอย่างยากลำบากเพราะถูกมัดข้อมือและข้อเท้าเอาไว้ ขณะที่ผู้ชายคนนั้นก้าวเข้ามา ร่างสูงสง่า ดวงตาคมดุเย็นชาที่เคยใช้กระบอกปืนจ่อมาที่หน้าผากของเธอ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่ ไม่เปื้อนเลือดเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“คุณจับหนูมาทำไม แล้ว...ที่นี่ที่ไหนคะ”
“ห้องฉันเอง”
บอกเธอพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้า ก่อนที่เขาจะหยิบขวดเหล้าราคาแพงบนโต๊ะกลางโซฟาแล้วเทลงในแก้วคริสตัลใบเล็ก ดวงตาคมกริบจ้องมาที่เธอตรงๆ พร้อมกับยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบด้วยท่าทางผ่อนคลายราวกับกำลังดูโชว์อะไรสักอย่างด้วยความพอใจ
“คุณ...จะทำอะไรหนู หนูบอกแล้วไงว่าหนูแค่บังเอิญผ่านไปเจอคุณเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะเก็บหนูไว้หรอกนะคะ”
เธอพยายามเจรจาต่อรอง ในเมื่อเขาไม่ฆ่าเธอที่นั่นแปลว่าเขาอาจจะให้โอกาสเธอได้มีชีวิตต่อไป เป็นอย่างนั้น...ใช่รึเปล่า?
“แปลว่าฉันควรฆ่าเธอทิ้งซะตั้งแต่เมื่อกี้ แทนที่จะพากลับมางั้นสิ?”
“มะ...ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ หนูหมายถึงคุณควรปล่อยหนูไป พรุ่งนี้หนูมีเรียนด้วย แล้วหนูก็เหนื่อยมาก หนู...อยากนอนพักจะแย่อยู่แล้ว”
“ง่ายไปหน่อยมั้งสาวน้อย เธอเห็นฉันฆ่าคนนะ เกิดเธอไปแจ้งตำรวจฉันก็ติดคุกน่ะสิ” เขาบอกด้วยแววตาจริงจัง ทั้งที่ดูแล้วเขาไม่เหมือนคนที่เกรงกลัวกฎหมายแม้แต่นิดเดียว
“หนูไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นหรอกค่ะ แค่ลำพังตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว”
“หึ ขนาดไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นนะ แต่เธอก็ยังเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในโกดังไม่ใช่หรือไง”