เมื่อวัตถุดิบทุกอย่างเตรียมพร้อมก็ถึงเวลาของการปรุงรส ครัวหินอ่อนเปลี่ยนเป็นเวทีของกลิ่นและเสียง เสียงน้ำมันดังฉ่าเมื่อเจอเนื้อหมู ความหอมของกระเทียมและซีอิ๊วขาวตีขึ้นจนชวนหิว อริสราทำทุกอย่างคล่องมือด้วยความคุ้นเคยจากร้านเก่าที่เคยไปทำงานเป็นผู้ช่วยในครัว บางครั้งก็ได้รับโอกาสให้ปรุงอาหารแทนเชฟเพราะลูกค้าแน่นร้าน เธอผัดเร็วเป๊ะๆ ก่อนเพิ่มไฟ ละเลียดน้ำซอสให้เคลือบผักแค่พอขึ้นเงา ก่อนลดไฟต้มซุปให้นิ่ง เสียงฟองดังปุดๆ เบาดุจคนกระซิบ แล้วจึงตีไข่ลงกระทะเหล็ก รอจนขอบเริ่มกรอบจึงค่อยๆ กลับด้านด้วยมือที่มั่นคง
พงศ์วิชญ์นั่งนิ่งและเงียบ แต่ไม่ใช่ความเงียบว่างเปล่า เขามองท่อนแขนเล็กที่ขยับเป็นจังหวะ เขามองความตั้งใจที่ไม่ประดิษฐ์ของเธอ มองการทดลองชิมทีละนิด แล้วปรับรสโดยไม่ถามใคร เหมือนคนที่รู้จักสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเป็นอย่างดี น่าแปลกที่ปกติแล้วเขาไม่ชอบเสียงดังในบ้าน แต่เสียงกระทบกันของเครื่องครัวในตอนนี้กลับไม่รบกวนระบบประสาทเลยสักนิด แถมยังทำให้เขาคิดไปถึงตอนเด็กๆ ที่เคยเป็นลูกมือให้มารดาในครัวอยู่บ่อยครั้ง
บางที...อาจเป็นเพราะเด็กคนนี้มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายมารดาของเขา เขาจึงได้เลือกเธอ...
‘จำไว้นะวิชญ์...ไม่ว่าลูกจะเจอเด็กกำพร้าที่ไหน แม่ขอให้ลูกใจดีกับพวกเค้าด้วยนะจ๊ะ อย่าทำให้พวกเค้ารู้สึกว่าถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ต่อให้ลูกจะช่วยอะไรพวกเค้าไม่ได้ ก็อย่าไปดูถูกหรือซ้ำเติมพวกเค้าเลย เพราะหลายสิ่งที่ลูกมี พวกเค้าก็ไม่เคยได้สัมผัส อย่างความรักของแม่ที่มีต่อลูก เด็กกำพร้าหลายคนก็ไม่เคยได้รับมันเลยตั้งแต่พวกเค้าเกิดมา...’
นี่คือคำพูดของมารดาที่เขาจำได้ขึ้นใจ เป็นคำที่ท่านบอกเขาตอนที่เข้าเรียนประถมและเขาก็มีเรื่องกับเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นเด็กกำพร้าแต่ชอบทำตัวกร่างไปทั่วเหมือนอยากเรียกร้องความสนใจ พอเขาเล่าให้มารดาฟัง ท่านก็เลยอธิบายว่าบางที...เขาอาจจะแค่สร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเอง เพราะเขาไม่อยากถูกใครดูแคลนก็เลยต้องทำให้คนอื่นไม่กล้าฝ่ากำแพงเข้าไป ทั้งที่เขาเองก็อาจจะแค่ต้องการเพื่อนดีๆ สักคนที่เข้าใจในโลกที่ต่างกัน
หลังจากวันนั้นเขาก็เริ่มเปิดใจกับเพื่อนคนนี้มากขึ้นและรู้ว่ามันไม่ใช่คนนิสัยไม่ดีเลย แต่เพราะมันเคยถูกทำร้ายทั้งทางจิตใจและร่างกายมาก่อนก็เลยทำตัวแบบนั้น และตอนนี้เขากับมันก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว และเพื่อนคนนั้น...ก็คือสารินนี่เอง
อาหารสามอย่างถูกจัดลงจานเรียบร้อยพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และน้ำเปล่า อริสราถอยหนึ่งก้าวเพื่อให้เขาขยับลงนั่งได้สะดวก
“เชิญค่ะเฮีย”
“มีแต่ของรสจืด?”
“คือ...หนูเห็นว่าเป็นมื้อเย็นแล้วเฮียก็ต้องไปทำงานด้วย กลัวว่าทำอาหารรสจัดแล้วเกิดปวดท้องขึ้นมาจะยุ่งเอาน่ะค่ะ แต่ถ้าเฮียไม่ชอบ...เดี๋ยวหนูไปทำให้ใหม่ก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร ฉันก็แค่ถามดูเท่านั้น”
พงศ์วิชญ์นั่งลงที่เก้าอี้ เขาหยิบช้อนตะล่อมต้มจืดขึ้นซดก่อน หลังจากนั้นส้อมของเขาก็ย้ายไปที่ผัดผักรวม ลองชิมคำเดียว ไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะตักต่อเป็นคำที่สอง สาม และสี่ จากนั้นไข่เจียวกรอบถูกตัดชิ้นพอดีคำ ขอบบางกรุบกริบส่งเสียงเบาๆ ใต้ฟัน
อริสรายืนรออย่างมีมารยาท เธอไม่คาดหวังคำชม แต่ยอมรับว่าอยากได้สัญญาณใดๆ ว่าพอมันใช้ได้หรือไม่ กระนั้นพงศ์วิชญ์ก็ยังคงเงียบ เงียบจนกระทั่งอาหารทั้งสามจานหมดเกลี้ยงไม่มีแม้แต่เศษผักติดจาน
“กับข้าวยังมีนะคะเฮียจะให้ตักผัดผักหรือต้มจืดเพิ่มมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร ฉันอิ่มแล้ว เดี๋ยวฉันจะขึ้นห้องก่อน เธอกินที่เหลือได้เลยไม่ต้องเก็บไว้ ฉันไม่ชอบกินอาหารค้างคืน กินอิ่มแล้วก็เข้าห้องอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านล่ะ ”
“ค่ะเฮีย ขอบคุณนะคะ” เธอยกมือไหว้เขา ก่อนเก็บจานชามบนโต๊ะไปล้างจนเรียบร้อย ส่วนเขาก็ก้าวขึ้นไปบนห้อง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ขณะที่เธอกำลังตักผัดผักที่เหลือมาราดข้าวในจานและตักต้มจืดลงในถ้วยใบเล็ก เขาก็ก้าวลงมาอีกครั้งพร้อมของบางอย่างในมือ
“อะนี่ ฉันให้ยืม”
เธอมองของที่เขาวางบนโต๊ะอาหารอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะมันคือโน้ตบุ๊กสภาพใหม่ที่แทบจะไม่ค่อยผ่านการใช้งาน
“เอ่อ...เฮีย...ให้หนูยืมจริงๆ เหรอคะ”
“อืม แต่ห้ามทำพังล่ะ ไม่งั้นฉันจะหักเงินเดือนเธอ”
“ไม่ค่ะ หนูไม่ทำพังแน่นอน แล้วเฮียจะให้หนูยืมกี่วันคะ”
“จนกว่าจะเรียนจบ แล้วถ้าอยากพรินต์งานก็ไปใช้เครื่องพรินต์ในห้องทำงานฉันนู่น ไม่ต้องไปเสียเงินที่ร้านคอมฯ อีก เชื่อมต่อผ่านบลูทูธได้เลยฉันตั้งค่าไว้หมดแล้ว”
บอกแค่นั้นเขาก็เดินกลับไปทางเดิมก่อนจะหยุดที่ราวบันไดแล้วหันมามองคนที่ยังยืนอึ้งเพราะคิดว่าตัวเองอาจจะฝันไป
“อย่ามัวแต่ยืนบื้ออยู่สิ รีบกินข้าวแล้วขึ้นมาเตรียมเสื้อผ้าให้ฉันด้วยล่ะ นี่ก็เป็นอีกหน้าที่ของเธอ หวังว่าจะยังไม่ลืม”
“ดะ...ได้ค่ะ หนูขอเวลาไม่เกินยี่สิบนาทีจะรีบขึ้นไปนะคะ”
“อืม”
“เฮียคะ”
“อะไรอีก”