วิวาห์ภรรยาแสนสวย
แม้หนุ่มสาวจะปฏิเสธหัวชนฝาว่าไม่ยอมแต่ง แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องแต่ง...
เนื่องจากความเคารพที่ทั้งสองคนยังคงมีต่อบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย ทำให้ตอนนี้สิงหราชและปุณยวีร์ต้องมาลงเอยอยู่ด้วยกันภายในห้องหอที่ถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้สดงดงามหลายสายพันธุ์
กลีบกุหลาบสีแดงปนสีชมพูโรยกระจายไปทั่วเตียงนอนสีขาวผ่อง หญิงสาวกวาดสายตามองช่อดอกไม้ที่ถูกประดับประดาอยู่หลายจุดภายในห้องหอ เธอกวาดสายตามองดอกไม้เหล่านี้ด้วยแววตาแห่งหายนะ
ไม่มีใครรู้เลยว่าปุณยวีร์แพ้เกสรดอกไม้...
ฮัดชิ้ว!
พ่อเลี้ยงสิงหราชหันขวับมาจ้องมองเจ้าของเสียงจามเมื่อครู่ หญิงสาวขยับมือเรียวขึ้นมาถูปลายจมูกเล็กโด่งรั้นที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดงระเรื่อ เธอรู้สึกคัดจมูกจนเริ่มหายใจไม่ออก
"ฉันต้องออกไปจากห้องนี้ตอนนี้ ต้องออกไปตอนนี้" ร่างสง่างามระหงในชุดเจ้าสาวสีขาวผ่องลุกขึ้นจากเตียงนอน แทนที่จะได้เริ่มต้นบทสนทนาทำความรู้จักกับสามีหมาดๆ แต่กลับต้องมาแพ้เกสรดอกไม้เสียก่อน
"เธอออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ มันเป็นธรรมเนียมไม่รู้หรอกเหรอ เจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอแล้วจะออกจากห้องหอได้ก็ต่อเมื่อถึงเช้าพรุ่งนี้" พ่อเลี้ยงสิงหราชพูดด้วยน้ำเสียงค่อนไปทางดุดัน
"แต่ถ้าฉันยังอยู่ในห้องนี้ฉันต้องตายแน่ๆ เลย ฉันหายใจไม่ออก พ่อเลี้ยง ฉันแพ้เกสรดอกไม้" ปุณยวีร์บอกอาการของตนเองออกไป
ทำให้สิงหราชรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย แม้เขาจะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่พ่อเลี้ยงหนุ่มก็รีบร้อนเดินมาใกล้ และฉุดรั้งเอาข้อมือของภรรยาไปกุมไว้พร้อมกับพาเดินออกไปจากห้องหอ
"แม่บ้าน! แม่บ้านอยู่ไหนหมด ช่วยกันมาขนดอกไม้ออกไปจากห้องหอแล้วก็ทำความสะอาดใหม่ให้หมด เดี๋ยวนี้เลย!" สิงหราชออกคำสั่งเสียงดังจนแม่บ้านหลายคนต่างพากันวิ่งตรงมาที่ห้องหอของทั้งสอง
"มีอะไรกันเหรอสิงห์ เสียงดังลั่นบ้านกันเชียว" จังหวะเดียวกันแม่นายศรีจิตราก็เดินตรงมายังหน้าห้องนอนของบุตรชาย นางจึงได้เห็นว่าลูกสะใภ้มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ผิวขาวผ่องตอนนี้กลายเป็นสีแดงระเรื่อ โดยเฉพาะบริเวณปลายจมูกโด่งรั้นที่กลายเป็นสีแดงจนเห็นได้ชัด
"หนูวีเป็นอะไรลูก สิงห์แกล้งอะไรน้อง?" นางหันขวับไปถามบุตรชายด้วยแววตาคาดโทษ เพราะรู้ดีว่าสิงหราชไม่ต้องการแต่งงานตั้งแต่แรก นางจึงคิดว่าชายหนุ่มกำลังกลั่นแกล้งภรรยาของตนเอง
"คุณแม่ถามแบบนี้หมายความว่ายังไงครับ?"
"พ่อเลี้ยงสิงห์ไม่ได้แกล้งวีหรอกค่ะ วีแค่แพ้เกสรดอกไม้ค่ะ" ปุณยวีร์อธิบาย แม่นายศรีจิตราจึงชะเง้อมองเข้าไปในห้องหอ ถึงได้เห็นว่าแม่บ้านกำลังช่วยกันทำความสะอาดและขนดอกไม้ออกมากันให้วุ่น
"ตายจริง แม่ไม่รู้ว่าหนูวีแพ้เกสรดอกไม้ แม่ต้องขอโทษจริงๆ นะที่สั่งให้คนจัดดอกไม้ไว้ซะเต็มห้องเลย แล้วนี่ต้องไปโรงพยาบาลหรือเปล่าลูก?" นางรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
เพราะคิดว่าผู้หญิงส่วนมากชอบดอกไม้ เลยอยากจะต้อนรับลูกสะใภ้คนโปรดด้วยของสวยงาม เลยสั่งดอกไม้มาประดับประดาเสียหลากหลายชนิด
"คุณแม่ไม่ต้องขอโทษวีหรอกค่ะ เป็นความผิดของวีเองที่ไม่ยอมบอกใครว่าตัวเองแพ้เกสรดอกไม้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าในงานแต่งงานจะต้องมีดอกไม้มาประดับมากมาย" เธอโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง พ่อเลี้ยงสิงหราชยืนฟังอยู่จึงแค่นหัวเราะในลำ
"รู้ตัวก็ดีว่าตัวเองผิด คราวหน้าแพ้อะไรไม่ชอบอะไรก็บอกคนอื่นเขาไว้ จะได้ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้คนในบ้านแบบนี้อีก" พ่อเลี้ยงหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ จากนั้นเขาจึงเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อไปนั่งพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่น
"สิงห์นี่ก็ปากร้ายไม่เลิกนะ หนูวีอย่าไปใส่ใจเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวลงไปนั่งกับแม่ที่ห้องรับแขกข้างล่างดีกว่า แม่จะหาอะไรอุ่นๆ ให้ดื่ม" นางบอกลูกสะใภ้ แล้วจึงเดินมาโอบประคองเอวเล็กของหญิงสาวพาเดินลงไปยังชั้นล่าง
พ่อเลี้ยงสิงหราชกำลังนั่งกอดอกอยู่บนโซฟาในท้องห้องนั่งเล่น เขามองออกมาเห็นมารดากำลังเดินไปยังห้องรับแขกพร้อมกับภรรยาของตนเองจึงแค่นหัวเราะอีกครั้ง เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าปุณยวีร์จะถูกเอาอกเอาใจมากเป็นพิเศษไปแล้ว
ชายหนุ่มยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง พลันนึกไปถึงใบหน้าสวยสง่างามของภรรยาป้ายแดง กลิ่นกายหอมละมุนของเจ้าสาวยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ปลุกอารมณ์หื่นกระหายในร่างกายของบุรุษเช่นเขาได้เป็นอย่างดี
สิงหราชแค่นหัวเราะพลันส่ายหน้าน้อยๆ เขาคิดว่าการที่ตนมีอารมณ์ปรารถนาต่อร่างกายของภรรยารวดเร็วถึงขนาดนี้มันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อหนุ่มสาวอยู่ใกล้กัน
และที่สำคัญปุณยวีร์สามารถทำให้เขาลืมนึกถึงพิยดาไปได้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็ลืมไปได้ชั่วขณะ คงเพราะหล่อนเป็นเพียงแค่ผู้หญิงที่มีไว้เพื่อแก้เหงาก็เท่านั้น
แม้พิยดาจะถูกเชิญมางานแต่งแต่หล่อนก็ไม่ยอมมา เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่งานแต่งกำมะลอที่ไม่อยากจะร่วมแสดงความยินดี และการที่สูญเสียผู้ชายที่เฝ้าปรารถนาให้ผู้หญิงคนอื่นในระยะเวลาอันรวดเร็วนั้นย่อมเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
สิงหราชหยัดกายลุกขึ้นจากโซฟา จากนั้นเขาจึงเดินตรงไปหามารดาและภรรยาในห้องรับแขก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาค่ำคืน แทนที่จะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพักผ่อนแต่กลับต้องรอแม่บ้านทำความสะอาดจนเสร็จ
"สิงห์ แม่บ้านทำความสะอาดห้องเสร็จหรือยัง?" แม่นายศรีจิตราถามขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายเดินตรงมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาใกล้กับปุณยวีร์
นางมองบุตรชายและลูกสะใภ้สลับกันไปมาแล้วจึงคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่ม มันช่างเป็นภาพที่ทำให้มีความสุข คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก คนหนึ่งสวยสง่างามผิวพรรณผุดผ่อง ส่วนบุตรชายของตนนั้นก็หล่อเหลาคมเข้มสง่างามไม่ต่างกัน
"ใกล้เสร็จแล้วมั้งครับ ผมเพลียจะแย่อยู่แล้ว อยากจะเข้าหอเต็มทน" ชายหนุ่มพูดพลันชำเลืองมองภรรยาคนสวยที่ยังคงนั่งก้มหน้าอยู่ ปลายจมูกเล็กโด่งรั้นยังคงเป็นสีแดงระเรื่อเพราะจามไปหลายครั้ง
"ลูกทั้งสองคนรู้หรือเปล่าว่าวันนี้เป็นวันที่แม่ดีใจที่สุดในโลกเลยนะ เป็นวันที่แม่มีความสุขที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ในที่สุดลูกชายคนเดียวของแม่ก็เป็นฝั่งเป็นฝากับภรรยาที่แสนจะงดงามเช่นหนูวี"
นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความสุขที่แท้จริง สายตาจับจ้องมองลูกสะใภ้ด้วยแววตาภาคภูมิใจ เพราะปุณยวีร์ช่างเป็นผู้หญิงที่สง่างามและเพียบพร้อมไปเสียหมดทุกอย่าง
"ขออนุญาตค่ะแม่นาย" จังหวะเดียวกันนั้นแม่บ้านก็เคาะประตูห้องรับแขกและเดินตรงเข้ามารายงาน
"ทำความสะอาดห้องหอเสร็จแล้วเหรอ?" นางถามใบข้าวสาวใช้วัยละอ่อน
"เสร็จแล้วค่ะ เชิญพ่อเลี้ยงกับคุณวีกลับขึ้นบนห้องหอได้แล้วค่ะ" หล่อนรายงาน จากนั้นจึงเดินออกจากห้องรับแขกไป
สิงหราชจึงหยัดกายลุกขึ้นยืน แล้วยังถือวิสาสะรั้งข้อมือเล็กของภรรยามากุมไว้ เขาดึงข้อมือของหญิงสาวเล็กน้อยเพื่อให้เธอลุกขึ้นยืน ปุณยวีร์จึงจำใจลุกขึ้นและเดินตามสามีกลับขึ้นไปบนห้องหอ ส่วนแม่นายศรีจิตรามองตามหลังทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มมีความหวัง ได้แต่ปรารถนาในใจขอให้ตนได้อุ้มหลานในเร็ววันนี้...
'เพราะนางรู้จักนิสัยของบุตรชายเป็นอย่างดีอยู่แล้ว...'
มาแล้ววว ใครชอบแนวพ่อเลี้ยงบ้านไร่แบบนี้ฝากกดหัวใจและเพิ่มเข้าชั้นหนังสือให้นักเขียนด้วยนะคะ ฝากคอมเมนต์เข้ามาเยอะๆ นะคะ ขอบคุณค่ะ