ปุณยวีร์เดินตามหลังสิงหราชออกมาหน้าบ้านหลังจากที่รับประทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว เขาเดินตรงไปเปิดประตูรถให้ภรรยา ทว่าหญิงสาวกลับยังคงยืนอยู่ไม่ยอมเดินเข้าไปนั่งในรถ
เธอกำลังครุ่นคิด ตั้งใจจะเอ่ยถามสามีว่าหากไร่อยู่ไม่ไกลมากนักจะเดินไปเอง เพราะไม่อยากนั่งรถไปกับเขา ไม่อยากต่อปากต่อคำ ไม่อยากนึกถึงภาพที่ยังคงติดตาเมื่อคืน
"ยืนชมวิวอยู่หรือยังไง คนที่นี่ไม่มีใครเขาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์หรอกนะ เอาแต่เอื่อยเฉื่อยแบบนี้มีหวังสตรอว์เบอร์รี่ฉันสุกคาต้นหมดไร่พอดี" ไร่ศรีสุขเป็นไร่ปลูกสตรอว์เบอร์รี่นับพันไร่ กับคนงานอีกมากกว่าร้อยชีวิตที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
"เอ่อ...คือว่าความจริงฉันอยากเดินไปเองมากกว่า ฉันอยากรู้ว่าที่ไร่นี้บรรยากาศเป็นยังไงหรือว่ากว้างใหญ่แค่ไหน ไกลมากหรือเปล่าคะคุณสิงห์?"
"หึ! ห้ากิโล แต่ให้ฉันเดานะ สภาพแบบเธอเดินออกจากบ้านยังไม่ถึงสิบก้าวก็คงเป็นลมแล้วมั้ง ตัวเล็กผอมแห้งขนาดนี้" สิงหราชพูดพลันแค่นหัวเราะ
ปุณยวีร์ทำหน้าบึ้งตึง แล้วจึงก้มลงสำรวจร่างกายของตนเอง แน่นอนว่าเธอตัวเล็กสำหรับคนตัวโตเช่นเขา แต่ไม่ถึงกับผอมแห้งเช่นที่ชายหนุ่มกล่าวหา
"ไม่เดินก็ได้ค่ะ" เธอพูดแล้วจึงรีบเดินฟึดฟัดตรงไปขึ้นรถ จากนั้นสิงหราชจึงปิดประตูรถยนต์ และเดินอ้อมมานั่งประจำที่คนขับ เขาสตาร์ตรถและขับออกจากบริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่ตรงไปยังไร่กว้างใหญ่ไพศาล
"ที่แท้คุณก็ปากร้ายแบบนี้ตลอดเวลาสินะคะ ไม่ได้ปากร้ายแค่ตอนเมา" ปุณยวีร์ตัดสินใจพูดขึ้น หลังจากได้เห็นนิสัยที่แท้จริงของพ่อเลี้ยงสิงหราชแล้ว เขาละสายตาจากถนนเพื่อหันมามองยังภรรยา พลันแค่นหัวเราะในลำคออีกครั้งก่อนจะหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าเช่นเดิม
"ฉันก็ปากแบบนี้มาตั้งแต่เกิด เธอจะให้ฉันพูดกับเธอยังไง เมียจ๊ะ เมียจ๋า แบบนี้เหรอ?" ชายหนุ่มแกล้งพูด ปุณยวีร์ฟังแล้วถึงกับขนลุก รู้สึกระคายหูบอกไม่ถูก
แน่นอนว่าเธอไม่ได้คาดหวังให้เขาพูดจาเช่นนั้น เพียงแค่คาดหวังอยู่บ้างว่าควรที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกันดีๆ แต่ดูเหมือนว่าโอกาสนั้นจะหายากเสียแล้ว เมื่อสิงหราชดูเหมือนจะเป็นคนแข็งกระด้างมากเหลือเกิน
"เปล่าหรอกค่ะ คุณอยากพูดยังไงก็พูดเถอะค่ะ เรื่องของคุณ" หญิงสาวตอบน้ำเสียงราบเรียบ ในเมื่อเขาเลือกที่จะปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะคุยดีกับชายหนุ่มเช่นเดียวกัน
แต่แม้จะรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าสามีคนนี้เสียเท่าไหร่ ทว่าในหัวสมองกลับยังคงเอาแต่เห็นภาพจำที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ภาพเปลือยกายกำยำของเขา ภาพแก่นกายแข็งชันยังคงติดตา ปุณยวีร์รับรู้ได้ว่ามันยากมากที่จะลบภาพนั้นออกไปจากหัวสมองของตนเอง
ใบหน้าสวยร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง จึงแสร้งมองออกไปทางกระจกรถ มองวิวทิวทัศน์ไร่สตรอว์เบอร์รี่ด้วยความตื่นเต้น คิดไม่ถึงว่ามันจะกว้างใหญ่มากถึงขนาดนี้ เห็นคนงานบางส่วนกำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บผลไม้ลูกแดงสุก นึกแล้วก็อยากชิมลูกสตรอว์เบอร์รี่สีแดงสดๆ จากต้น
สิงหราชขับรถมาจอดบริเวณหน้าสำนักงานไร่ซึ่งเป็นจุดรวมคนงาน ติดกับอาคารสำนักงานไร่เป็นโรงครัวขนาดใหญ่ ที่นี่เลี้ยงอาหารพนักงานมื้อเที่ยงทุกวัน
มองลึกเข้าไปมีบ้านคนงานหลายสิบหลังเรียงรายกันอยู่ คนงานส่วนใหญ่พักกันที่นี่เพราะต้องตื่นแต่เช้าขึ้นมาทำงาน ปุณยวีร์เปิดประตูลงจากรถและกวาดสายตามองไปรอบๆ ถึงได้สัมผัสว่าแม้ตอนนี้จะสายมากแล้วแต่บรรยากาศยังคงเย็นสบายดีอยู่
เพราะช่วงปลายเดือนตุลาคมเช่นนี้เริ่มจะเข้าหน้าหนาวแล้ว ปุณยวีร์รับรู้ได้ถึงไอเย็นพัดผ่านมากระทบเข้ากับผิวหน้าบอบบาง ความเย็นยะเยือกทำให้เธอขยับมือขึ้นมาโอบกอดตัวเองไว้ ระหว่างเดียวกันนั้นพ่อเลี้ยงสิงหราชก็เดินตรงมาหา
"แน่ใจนะว่าจะทำงานไหว?" เขาเลิกคิ้วถามภรรยาด้วยสีหน้าหวาดหวั่นใจ พลันกวาดสายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปุณยวีร์เป็นผู้หญิงรูปร่างเพียวบอบบาง ผิวขาวผุดผ่อง น่าทะนุถนอมจนไม่กล้าให้แดดต้องตกกระทบกับผิวเนียนสวย
เพราะเพียงแค่โดนแดดช่วงสายใบหน้าสวยก็แดงระเรื่อเสียแล้ว สิงหราชเห็นเลือดฝาดทั่วใบหน้าหวานทำให้หัวใจแกร่งของเขากระตุกวูบ คิดไม่ถึงว่าปุณยวีร์จะมีอิทธิพลต่อตนมากถึงขนาดนี้
"ไม่ได้แน่ใจหรอกค่ะ แต่ถ้าไม่ลองทำก็ไม่มีวันรู้ อีกอย่างถึงยังไงฉันก็ต้องทำงานใช้หนี้พ่อเลี้ยงไม่ใช่เหรอคะ ไม่ทำงานนี้ก็ต้องทำงานอื่นอยู่ดี" เธอพูดพลันชะเง้อมองไปยังคนงานที่กำลังเก็บสตรอว์เบอร์รี่ ตั้งใจที่จะเดินลงไปหาพวกเขา
"ฉันก็ยื่นข้อเสนอไปแล้วนี่ แค่ยอมขึ้นเตียงกับฉันก็ถือว่าได้ใช้หนี้แล้ว งานสบายๆ ไม่ชอบหรือยังไง คุณหนูผู้ดีเธอไม่เคยทำงานในไร่ในสวน เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาในไร่ฉันมันจะเดือดร้อนฉันอีกนะ"
สิงหราชพูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน คำพูดนั้นทำให้ปุณยวีร์รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาดูถูกดูแคลนเธอ ไม่ยอมให้โอกาสเธอในการพิสูจน์ตัวเองเลย แต่จังหวะเดียวกันนั้นก็มีบุรุษคนหนึ่งเดินมาหาทั้งสอง
"พ่อเลี้ยงครับ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?" เพราะเห็นเจ้านายยืนคุยกับภรรยาของเขาได้สักพักแล้ว เมฆเห็นสีหน้าท่าทางดูจริงจังจึงเดินเข้ามาทักทายนายหญิงคนใหม่ แม้เมื่อวานจะได้รับเชิญไปร่วมงานแต่งแต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันกับภรรยาเจ้านายเลย
"ช่วยพานายหญิงของมึงลงไปทำงานด้วย อ้อ นี่เมฆ ผู้จัดการไร่ ส่วนนี่เมียกู มึงน่าจะรู้อยู่แล้ว คนงานก็น่าจะรู้กันทั้งไร่แล้วล่ะ" สิงหราชแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน จากนั้นเขาจึงเดินตรงไปตรวจงานเช่นประจำทุกวัน ปุณยวีร์จึงได้แต่มองตามหลังสามีด้วยแววตาขุ่นเคือง
"สวัสดีครับนายหญิง" หญิงสาวละสายตาจากสิงหราชและหันกลับมาหาเมฆเมื่อได้ยินเสียงทักทายของผู้จัดการไร่หนุ่ม
"สวัสดีค่ะคุณเมฆ แต่ต้องเรียกนายหญิงด้วยเหรอคะ?" เธอรู้สึกระคายหูกับคำนี้ คงเพราะไม่คุ้นชิน แต่ที่สำคัญคือไม่ได้อยากเป็นนายหญิงของไร่นี้เลยสักนิด
"ครับ เป็นเมียพ่อเลี้ยงสิงห์ก็ต้องเป็นนายหญิงสิครับ แต่จะว่าไปแล้วนายหญิงไม่เห็นต้องลงไปทำงานเลยนะครับ มีงานอีกหลายอย่างในสำนักงานที่ต้องทำ ทำไมพ่อเลี้ยงถึงไม่ให้นายหญิงไปทำตรงนั้นล่ะครับ?"
คำพูดของเมฆทำให้ปุณยวีร์ครุ่นคิด เพราะสิงหราชไม่เคยพูดถึงงานในสำนักงานไร่แม้แต่คำเดียวนอกจากงานบนเตียง ชายหนุ่มคงอยากจะแกล้งให้เธอไปทำงานตากแดดตากลมเสียมากกว่า
"ทำในไร่นี้แหละค่ะดีแล้ว ยังไงฉันขอตัวไปเก็บสตรอว์เบอร์รี่กับคนงานก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปเรียนรู้งานกับพวกคนงานก็ได้ คุณเมฆไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ" ปุณยวีร์พูดเท่านั้นแล้วจึงเดินลงไปหากลุ่มคนงานที่กำลังทำงานกันอยู่ท่ามกลางไร่อันกว้างใหญ่ไพศาล
เมฆได้แต่มองตามหลังนายหญิงด้วยความแปลกใจ เขาไม่รู้ว่าเธอตกลงกับสิงหราชไว้ว่าอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ชายหนุ่มไม่เห็นด้วยสักนิดที่สาวเมืองกรุงเทพฯท่าทางบอบบางเช่นนี้จะทนแดดทนร้อนได้