พ่อเลี้ยงสิงหราชตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ เขาแต่งตัวออกไปที่ไร่ตั้งแต่เช้าตามปกติโดยที่ปุณยวีร์ยังไม่ตื่นเสียด้วยซ้ำ และชายหนุ่มจะกลับเข้ามาทานมื้อเช้าตอนประมาณแปดโมงเช้า
ตอนนี้เป็นเวลากว่าเจ็ดโมงเช้าแล้ว ปุณยวีร์สัมผัสได้ถึงแสงสว่างลอดผ่านม่านหน้าต่าง หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา โชคดีที่แสงแดดยังไม่แยงตา
ร่างเล็กพยุงตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า คงเพราะเมื่อวานเป็นพิธีวิวาห์ จึงต้องยืนรับแขกและฝืนยิ้มตลอดทั้งวัน เมื่อคืนเธอหลับแทบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าสิงหราชอาบน้ำหรือว่าออกจากห้องนอนไปตอนไหน
ปุณยวีร์กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องแล้วจึงมองไปในยังนาฬิกา เธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นเวลา ด้วยความที่เพิ่งย้ายกลับมาจากต่างประเทศได้ไม่นาน จึงยังคงปรับเปลี่ยนเวลาหลับเวลาตื่นยังไม่ค่อยได้
ร่างเล็กรีบก้าวลงจากเตียงนอนและเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว เธอไม่อยากให้ใครนินทากล่าวหาว่านอนตื่นสายหลังไก่ขันตะวันโห่
ส่วนชั้นล่างแม่บ้านกำลังเตรียมอาหารเป็นประจำเช่นทุกเช้า แม่นายศรีจิตรานั่งดื่มชารอบุตรชายกลับมาทานมื้อเช้าพร้อมการที่โต๊ะรับประทานอาหารเช่นประจำทุกวัน
"สิงห์นี่ก็เกินไป เพิ่งแต่งงานเมื่อวานก็แทนที่จะหยุดอยู่บ้านสักวันสองวัน นี่เล่นออกไปที่แรกตั้งแต่เช้ามืด ไม่คิดจะสนใจเมียเลยหรือยังไงกัน" นางบนพึมทำให้บุตรชาย
แม้จะรู้ดีว่าการที่สิงหราชยอมแต่งงานกับปุณยวีร์นั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับชายหนุ่ม และก็รู้ดีด้วยว่าคาดหวังอะไรจากลูกชายคนนี้ไม่ได้ การที่เขายอมแต่งงานเพื่อให้เรื่องมันจบๆ ก็ดีมากโขแล้ว คงเพราะสิงหราชรู้ดีว่าหากไม่ยอมแต่งงานมารดาก็จะเร้าหรือไม่เลิก
เกือบแปดโมงเช้าแล้วทว่าปุณยวีร์กลับยังคงไม่ลงมาจากห้องนอน แต่แม่นายศรีจิตราก็เข้าใจดีว่าหญิงสาวเหนื่อยล้าและยังคงไม่ชินกับเวลาในประเทศไทย นางจึงไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปปลุกลูกสะใภ้ อยากให้เธอได้นอนพักผ่อนให้เต็มอิ่ม อยากให้รู้สึกเหมือนว่าอยู่ที่บ้านของตนเอง
และแม้นางจะยังไม่รู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริงของปุณยวีร์ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็รับรู้เรื่องราวของลูกสะใภ้คนนี้ผ่านคุณปุณยาพรซึ่งเป็นมารดาของเธอมาตลอด
ระหว่างเดียวกันนั้นสิงหราชก็ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามาในบ้าน และเดินตรงมายังโต๊ะอาหารเช่นประจำทุกเช้า แต่พอเห็นมารดานั่งอยู่คนเดียวกลับกวาดสายตามองไปรอบบ้าน
"หนูวียังไม่ลงมาหรอกสิงห์ เมื่อวานคงจะเหนื่อยมาก อีกอย่างแม่คิดว่าน้องคงจะยังปรับเวลาตื่นเวลานอนในประเทศไทยได้ไม่ดีนักเพราะเพิ่งย้ายกลับมาจากต่างประเทศ มาทานข้าวได้แล้วลูก"
คนเป็นแม่หรือจะไม่รู้นิสัยบุตรชาย นางตอบโดยที่ไม่ต้องรอให้สิงหราชถาม แต่คนท่ามากกลับไม่ยอมรับเสียอย่างนั้น เขาเดินมาทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ประจำของตนเองด้วยสีหน้าบึ้งตึง
"ผมไม่ได้จะถามหาเขาซะหน่อยครับคุณแม่ แล้วนี่ทำไมยังไม่จัดโต๊ะอาหารล่ะครับ หิวจะแย่อยู่แล้ว" พ่อเลี้ยงหนุ่มเฉไฉพูดไปเรื่อย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจัดโต๊ะ แต่จังหวะเดียวกันนั้นแม่บ้านก็เริ่มทยอยนำอาหารออกมาเสิร์ฟ
และยังเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปุณยวีร์เดินลงมาจากชั้นสอง หญิงสาวสวมกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตลายสก๊อต แต่งตัวราวกับพร้อมที่จะออกไปทำงานที่ไร่แล้ว สิงหราชมองไปยังภรรยาด้วยแววตาเปล่งประกาย แต่เขาไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าตนกำลังมองหญิงสาวด้วยแววตาเสน่หามากแค่ไหน
"หนูวี ลงมาได้เวลาพอดีเลยลูก มาทานมื้อเช้าด้วยกันนะ ไม่ให้แม่บ้านเตรียมอาหารพิเศษไว้ให้หนูด้วยล่ะ" แม่นายศรีจิตราพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มดีใจ ร่างกะทัดรัดจึงเดินมาทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ตัวติดกับสามี
"วีต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะที่ตื่นสาย สงสัยเมื่อคืนน่าจะลืมตั้งนาฬิกาปลุกค่ะ ตื่นมาอีกทีก็สว่างแล้ว" หญิงสาวรีบขอโทษ เพราะรู้ดีว่าในบ้านหลังนี้ไม่มีใครตื่นสายเลย และเธอก็ตั้งใจที่จะทำตัวกลมกลืนไปกับทุกคนในภายบ้านไร่แห่งนี้
แม้ปุณยวีร์จะยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่มากนัก แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้แล้วว่าตนรู้สึกชื่นชอบบรรยากาศภายในไร่เป็นหญิงมาก เงียบสงบร่มรื่น ธรรมชาติเป็นสิ่งเดียวที่ให้ความสุขกับหญิงสาวได้ในตอนนี้
"ขอโทษอะไรกันล่ะลูก หนูอยากจะนอนตื่นกี่โมงก็ได้หรือว่าอยากทำอะไรก็ได้ตามสบายเลยนะลูก" แม่นายศรีจิตราอยากให้ความสบายใจกับปุณยวีร์ จึงไม่เคยคิดจะบังคับให้หญิงสาวทำอะไรแม้แต่อย่างเดียว
และในฐานะผู้หญิงด้วยกัน นางรู้ดีว่าการถูกบังคับให้แต่งงานก็แย่มากพอแล้ว หากจะต้องมาสวมบทเป็นลูกสะใภ้ที่เพียบพร้อมก็อาจจะเป็นการกดดันหญิงสาวมากเกินไป
"คุณแม่ก็พูดเกินไปครับ ลืมไปหรือเปล่าครับว่าในสัญญาเขียนไว้ว่ายังไง ปุณยวีร์แต่งงานเพื่อที่จะทำงานในไร่ใช้หนี้เป็นเวลาสองปีนะครับ ไม่ได้แต่งเข้ามาคุณนายนอนอยู่นอนกินแบบสบายๆ"
สิงหราชพูดย้ำกับมารดาในเรื่องนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีเจตนาให้ภรรยาทำงานหนักอะไร เขาพูดพลันชำเลืองมองไปยังคนข้างกาย ที่ตอนนี้กำลังจ้องมองตนด้วยแววตาขุ่นเคืองเช่นเดียวกัน
"พูดอะไรแบบนั้นล่ะสิงห์ นี่เมียทั้งคนนะ พูดจาให้เกียรติหนูวีเขาหน่อย แม่สั่งห้ามเลยนะว่าอย่าไปพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนงานคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเรื่องสัญญาหรือว่าการถูกบังคับแต่งงาน นี่เป็นคำสั่ง ห้ามขัดด้วย"
นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สิงหราชจึงยอมเงียบไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องทำตามคำสั่งของมารดาเป็นเรื่องปกติ ส่วนปุณยวีร์หันไปคุยกับแม่นายศรีจิตรา
"ความจริงพ่อเลี้ยงสิงห์ก็พูดถูกนะคะคุณแม่ วีแต่งงานเพื่อมาทำงานใช้หนี้เป็นเวลาสองปีตามสัญญา ถึงจะห้ามไม่ให้คุณสิงห์เอาเรื่องนี้ไปพูดที่อื่น แต่หนูก็จำเป็นต้องทำงานค่ะ"
เพราะนั่นคือความตั้งใจของปุณยวีร์ เธอคงไม่มีทางที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้โดยที่ไม่ทำอะไร และแม้งานในไร่จะดูหนักหนาสาหัส แต่หากไม่ลองทำก็จะไม่มีทางรู้ว่าตนสามารถทำได้มากแค่ไหน จึงตั้งใจว่าจะลองทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ก็ดี งั้นก็รีบกินข้าวจะได้ออกไปที่ไร่พร้อมกัน" สิงหราชบอกภรรยา แล้วจึงตักอาหารเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับ ส่วนมารดาได้แต่ส่ายหน้าให้กับความอยากเอาชนะของบุตรชาย
"หนูวี ถ้าอยากลองทำงานแม่ก็ไม่ว่าหรอกนะลูก แต่อย่าลืมว่าหนูเป็นภรรยาของพ่อเลี้ยงสิงห์ เป็นเจ้านายของคนงานในไร่นี้ เป็นนายหญิงของไร่นี้ เพราะฉะนั้นจะทำงานอะไรก็ทำแต่พอดีพองาม เรียนรู้งานไปเท่านั้นแหละ อีกอย่างการที่หนูแต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ นั่นถือว่าหนี้สินของเราแทบจะสิ้นสุดลงแล้ว"
"คุณแม่ครับ" สิงหราชตั้งใจขัดมารดา ทว่านางกลับทำตามขวางใส่บุตรชายเสียก่อน
"เอ่อ...คุณสิงห์กับคุณแม่อย่าเถียงกันเรื่องนี้เลยนะคะ ถึงยังไงวีก็ยืนยันคำเดิมค่ะว่าจะทำงานใช้หนี้ให้ครบสองปี" หญิงสาวตั้งใจจบการเสวนาเรื่องนี้ เพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุให้แม่ลูกต้องถกเถียงกันเพราะเรื่องของตน จากนั้นทั้งสามคนจึงลงมือรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน...