“คุณอัสครับ เราค้นหาจนทั่วแล้ว ไม่พบร่างของคุณปานมุกเลยครับ” เมื่อตำรวจกลับไป อัสนีก็โดนเพ่งเล็งหนักจากผู้ถือหุ้นและสังคม สิ่งเดียวที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาคือ นำตัวเธอมายืนยัน
“บัดซบ!”
เพียงแค่คล้อยหลังตำรวจจะเป็นไปได้ยังไงที่ร่างของเธอจะหายไป หากตายก็ต้องพบศพ
“หาให้ทั่ว ไม่พบไม่ต้องไสหัวกลับมา” เสียงคำรามลั่นสั่งอย่างเลือดเย็น ทั้งหันไปหาปิ่นปักที่ยืนตัวสั่นงันงก ไม่ยอมขยับไปไหนสักที
“กลับไปได้แล้ว หากไม่เรียกไม่ต้องโผล่มาที่บ้านเธียรธีรา”
“ค่ะ” สายตาของเขาน่ากลัวจนเธอไม่อาจจะดื้อดึงได้ เพียงแค่เธอขัดคำสั่งเขาตบสั่งสอนแม่ปานมุกไปแค่ฉาดสองฉาด หวังว่าคงไม่จัดการเธอไปด้วยอีกคนหรอกนะ
เธอกราดมองไปที่เหล่าคนรับใช้ บอกให้รู้ว่าควรสงบปากสงบคำ เพราะคุณอัสนีไม่ชอบให้ใครทำเกินคำสั่ง ทั้งที่เธอถือวิสาสะมาค้นกระเป๋าของปานมุกด้วย แน่นอนว่าเขาไม่ได้สั่ง แต่เธอทำโดยพลการ
เหล่าคนรับใช้มองปิ่นปักแล้วพาลกันหลบสายตาไม่กล้าสบตาของทั้งอัสนี และปิ่นปัก เพราะทั้งคู่นั้นอำมหิตพอกันจนไม่อาจจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง
อย่าเพิ่งตายถ้าไม่ได้พบกันอีก!
คำนี้ก้องอยู่ในหูของอัสนี เป็นคำที่ปานมุกสั่งเสียงั้นเหรอ เขาไม่เข้าใจอะไรเลยเธอกล้าท้ายทายคนอย่างเขาได้อย่างไร เธอเปลี่ยนไป!
อัสนีถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชา เมื่อนึกถึงสายตาที่เธอมองเขาตอนที่เขาทำร้ายเธอ เธอไม่เคยเป็นอย่างนี้ ดวงตาที่แสนเย็นชาและขุ่นเคืองของเขามองไปยังเอกสารการหย่าที่เธอลงนามโดยไม่มีการลังเล หลังจากฟังตามคำบอกเล่าของกรกัญจน์
‘เธออยากหย่ากับฉันงั้นเหรือ นึกว่าจะอยากอยู่กับฉันไปตลอดเสียอีก’ เขาคิดในใจ เพราะอะไรที่เธอชอบเขามักสั่งให้ทำตรงข้าม เรื่องหย่าก็เช่นเดียวกัน
ที่จริงเขาคิดแผนให้กรกัญจน์จับเธอพิมพ์ลายนิ้วมือลงบนเอกสารด้วยซ้ำ แต่ไม่คิดว่าเธอยอมง่ายดายเพียงนี้ แต่เธอก็ทำเขาเจ็บแสบเช่นกันที่เปิดไลฟ์ให้คนเข้ามาดูด้านมืดของเขาที่ไม่อยากให้คนเห็น
ตอนนี้เขาต้องจัดการงานศพของคุณย่ากลีบบัวเสียก่อน เรื่องอื่นค่อยสะสางทีหลังก็ไม่สาย เขาเก็บเอกสารแล้วก็ออกไปสั่งการ
“หากนักข่าวมาสัมภาษณ์ห้ามใครปริปากพูดเด็ดขาด กล้องวงจรปิดในบ้านทำลายทิ้งให้หมด”
......
ณ บ้านพักวิลล่าของพิงพยัคฆ์เจ้าของสำหนักทนายความอันดับหนึ่ง
“ไม่...ฉันตายไม่ได้...ไม่” ปานมุกละเมอแล้วก็ตกใจอย่างกะทันหัน เธอลุกขึ้นนั่งหายใจเข้าถี่รัวมองไปรอบกายอย่างหวาดหวั่น เพราะที่นี่เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ตกแต่งหรูหราและไม่รู้สึกคุ้นตาเลยสักนิด
“ที่ไหน?”
ขณะที่ยังไม่ทันได้คิดทบทวนเรื่องราว ประตูห้องนอนถูกเปิดออก แม่บ้านสาวที่แต่งกายด้วยชุดยูนิฟอร์มสวยเดินเอายากับอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะด้านข้างเตียง แล้วยิ้มทักทายเธอ
“คุณผู้หญิงทานข้าวทานยานะคะ” แม่บ้านสาวโค้งให้อย่างสุภาพแล้วก็จากไปด้วยรอยยิ้ม
“ดะ...เดี๋ยว!” ประตูห้องนอนถูกปิดแล้ว เธอยังไม่ทันได้รั้งหญิงสาวคนนั้นเลย
ดวงตาเล็กกราดมองไปรอบ ๆ แต่ยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ ก็มีชายวัยสามสิบกลาง ๆ เดินเข้ามาหาเธอ
“ตื่นแล้วเหรอหนูน้อยของฉัน” รอยยิ้มไร้กังวลส่งไปหาเธอที่กำลังมึนงง แต่สัญชาติญาณบอกว่าเขาไว้ใจได้
“คุณช่วยฉันไว้” เธอเลิกคิ้วถามเพื่อหาคำตอบแรกที่เธอตื่นมาในห้องหรูหราหมาเห่านี่ก่อน
โครก คราก !
แต่เธอก็ทำลายบรรยากาศด้วยเสียงท้องที่ร้องอย่างหน้าอายจนต้องยิ้มเก้อให้เขา
“ทานข้าวก่อน แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”
อภิธาร พิงพยัคฆ์ เจ้าของสำนักกฎหมายอันดับหนึ่งในประเทศไทยมองเธอด้วยความเอ็นดู
15 ปีแล้วสินะที่เราไม่ได้พบกัน เด็กหญิงในตาเศร้าคู่นั้นทำให้เขาจดจำเธอได้ขึ้นใจ
ปานมุกตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากไป ก็รู้สึกกังวลยังไม่เสื่อมคลาย ทั้งยังมองเขาด้วยความระมัดระวัง สายตาเธอไม่ละจากเขาที่ยังอมยิ้มอย่างเอ็นดู เธอพยายามนึกว่าเขาเป็นใคร แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก เพียงแต่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเพียงเท่านั้น
เมื่อทานข้าวเสร็จ เธอก็ก้มมองร่างกายที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดนอนสีหวาน ความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนหมดสติไป เธอจำได้ว่าโดนน้องสาวตัวดีจับถอนเสื้อผ้าให้เหลือแต่ชุดซับในบางเบา แล้วก็จับโยนออกมาทางประตูหลังบ้านนี่นา
แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนเป็นชุดนอนที่มีราคาแพงแทน ทั้งมองตัวเองสลับกับมองเขา
“คุณเป็นคนเปลี่ยน”
“ไม่ใช่...แม่บ้าน”
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเขาก็เป็นสุภาพบุรุษพอ ไม่ใช่ผู้ชายตัณหากลับอย่างที่นึกเกรงกลัว
“ฉันเคยเจอคุณใช่ไหม”
อภิธารพยักหน้าเป็นคำตอบ แล้วก็ยิ้มให้กับคนขี้สงสัยเช่นเธอ