สงครามฝีปากขนาดย่อมสิ้นสุดลง เมื่อเจ้าของไร่ยอมนั่งสงบปากสงบคำ เพื่อรอแม่ครัวจำเป็นทำอาหารให้ทาน
อันที่จริงก็มีเสียงฮึดฮัดคล้ายว่าไม่สบอารมณ์ให้ได้ยิน แค่เจินเลือกที่จะไม่สนใจแล้วผัดข้าวในกระทะต่อ
คงหงุดหงิดงุ่นง่านที่ต้องมานั่งรอ เหมือนสุนัขในโอวาทคนเด็กกว่า ช่วงพลบค่ำแล้วคงอยากออกไปสังสรรค์กับคนงานในไร่มากกว่า
ดื่มหนักเหมือนตับใส่เกราะเหล็ก
ไม่ลืมอดีตไม่ว่าแต่ลืมรักตัวเองได้ไง
ที่โฮมสเตย์เฮียเสือมีแค่ข้าวสารกับไข่ แล้วก็เนื้อสัตว์อีกหนึ่งกำมือ นอกนั้นก็มีแต่เบียร์กระป๋องเต็มตู้เย็น สุดท้ายเจินก็รังสรรค์เมนูออกมาเป็นข้าวผัดหมูให้เจ้าตัว
ใช้เวลาไม่นานร่างบางก็ยกจานข้าวผัดมาวางตรงหน้าคนแก่กว่า หยิบน้ำในตู้เย็นเทใส่แก้วแล้ววางไว้ข้างกัน พร้อมกอดอกทำหน้าภูมิใจกับอาหารฝีมือตัวเอง
“โตแล้วพูดยากพูดเย็นจังวะ” เฮียเสือขมวดคิ้วนิ่วหน้า คอมันแห้งจนอยากได้เหล้ากระแทกปาก ไม่ใช่ข้าวผัดใส่ไข่ที่หน้าตาเหมือนอาหารเด็กเล็กแบบนี้
“แก่แล้วก็หัดรับฟังคนอื่นบ้างเถอะค่ะ” เธอกระแทกเสียงกลับอย่างไม่ยอมกัน ก่อนหยิบจานข้าวของตัวเองที่แบ่งไว้มานั่งทานพร้อมกับเขา
“ไอ้เจิน”
“เรียกน้องเจินค่ะเฮียขา”
“ไม่เอา”
เจินไม่แปลกใจ หากเฮียเสือจะใช้สรรพนามเรียกเธอเหมือนเด็กผู้ชาย เมื่อก่อนเธอมันหัวโจกร้านเกม เพราะสนิทกับพี่ภูผาลูกชายเจ้าของร้าน
เวลาไปไหนก็ไปกับแก๊งเพื่อนของภูผา จนหลายคนคิดว่าเธอชอบผู้หญิงด้วยกัน ตอนนั้นมีแต่พี่คนสวยเข้ามาจีบ แต่หารู้ไม่ว่าใจของเจินจีรญามีแต่เฮียเสือมาตลอด
เป็นคนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลยสักครั้ง
แต่ก็ยังเลิกชอบไม่ได้อยู่ดี..
“เฮียเสือไม่กินเหรอ นั่งจ้องแบบนั้นมันจะลงกะเพาะให้เฮียมั้ยคะ” เจินเลิกคิ้วใส่อีกฝ่าย มัวแต่นั่งทำหน้ายักษ์ ไม่ยอมตักข้าวเข้าปากสักที
เฮียเสือปรายตาขึ้นมอง ดวงตาคมดุดันฉายชัดในอารมณ์
“ตัววุ่นวายตั้งแต่เด็กยันโต”
“แบบนี้เขาเรียกเป็นห่วงต่างหาก”
“ไม่ได้อยากให้มาเป็นห่วง”
“เจินอาสาเป็นห่วงเฮียเองค่ะ”
คนแก่กว่ายกมือขึ้นนวดคลึงขมับ ทำไมจะไม่รู้ว่าเด็กนี่คิดอะไรกับตัวเอง เขาก็แค่เลือกที่จะมองข้ามไปเท่านั้น
เป็นแค่น้องสาวหรือตัววุ่นวายในชีวิตก็พอ..
“ก็ว่าอยู่ อายุแก่ปูนนี้แล้ว ทำไมถึงไม่มีเมียกับเขาสักที”
“พูดให้ดี”
“ทำตัวเป็นคนขาดน้ำตาลอยู่ได้ สาวถึงหนีเฮียหมด”
เจ้าของไร่สุรารักษ์ไม่สะทกสะท้าน เขาไม่ได้ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับใครอยู่แล้ว วัน ๆ เอาแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนคนเงินไม่พอใช้ ทั้งที่มีเก็บไว้กินยันตายในชาตินี้
แก่ตัวไปค่อยยกมรดกให้ลูกเฮียสิงห์ก็แล้วกัน
เขามันไม่มีความคิดจะสร้างครอบครัวอยู่แล้ว
ใบหน้าหวานล้ำจ้องมองคนแก่กว่า ที่ตักข้าวเข้าปากแล้วทำหน้าเหมือนไม่อยากอาหารจนเธอเริ่มน้อยใจ
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางอย่างที่เธออยากร้องขอ ต่อให้รู้ว่าจะถูกปฏิเสธกลับมาทันทีก็ตาม
“เฮียเสือ”
“อะไร”
“สอนเจินขี่จักรยานหน่อยสิ”
“ทำไมต้องสอน เดินไปก็ได้ไม่ใช่หรือไง” ใบหน้าคมคายปรายตามอง ปกติก็เห็นเดินไปเองได้ทุกวัน
“เดินทุกวันมันก็ปวดขามั้ย หลังเท้าเจินเป็นแผลเพราะรองเท้ากัดด้วย ถ้าปั่นเป็นจะได้ทุ่นแรงตอนเช้า”
พูดจบก็ประกบมือเข้าหากันเชิงเว้าวอน พร้อมทำหน้าอ้อนสุดชีวิต แต่กลับได้รับเพียงสายตาเย็นชาจากเขาตอบกลับมา
“ไม่สอน ไม่ว่าง ทำงาน” คนประหยัดคำพูดตอบตัดบท
“เจินจ้างเฮียก็ได้”
“เงินฉันมีเยอะแล้ว”
“ทำไมเฮียใจร้ายแบบนี้วะ”
“พูดวะกับผู้ใหญ่เหรอเจิน”
เมื่อคนอายุน้อยกว่ามีท่าทีต่อต้าน เฮียเสือก็ถึงกับชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ ก่อนมือบางจะทิ้งช้อนลงชามด้วยความไม่พอใจ เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ใจเจ็บ
ทำดีให้ตายถ้าเขาไม่รักก็คือไม่รัก
คนที่เขารักแทบตายต่อให้เลวร้ายก็ยังรัก
“ทีกับคนที่ใจร้ายด้วยดันทำดีกับเขาทุกอย่าง” เจินขมุบขมิบปากด้วยความน้อยใจ
ไม่ยุติธรรมเลย
ทีกับคนใจร้ายดันทำดีเพื่อรั้งเขาไว้ทุกทาง..
คนที่อุตส่าห์ลงแรงผัดข้าวให้มุ่ยปาก ไม่คิดจะใจดีกับเธอบ้างเลยหรือไงกัน หรือเป็นเพราะเขารู้ว่าเธอคิดยังไง ถึงได้พยายามตีตัวออกห่างแบบนี้
พอคิดเวิ่นเว้อในหัวจบ คนตัวเล็กก็ผุดลุกจากเก้าอี้ ตวัดสายตามองเฮียเสือที่ส่ายหน้าเชิงเอือมระอาใส่
“ช่างเถอะ เจินหัดขี่เองก็ได้”
“เอาแต่ใจว่ะ”
“เออ เฮียไม่ต้องมาสนใจชีวิตเจินหรอก”
ร่างบางที่ยืนค้ำหัวเผลอกระแทกเสียงใส่ มือคว้ากระเป๋าสะพายบนโต๊ะ แล้วก้าวเท้าปึงปังออกจากโฮมสเตย์ไปทันที
ผู้หญิงเวลามีอารมณ์โมโห บางทีก็ลืมดูสถานการณ์ไปเลย
รู้ตัวอีกทีเธอก็เดินอยู่ท่ามกลางความมืดหม่น สองข้างทางมีแต่ต้นไม้และไร่องุ่น แสงไฟก็สลัวชวนให้ขนอ่อนลุกเกรียว
บรรยากาศอย่างกับในหนังผีเลย
พอเริ่มถูกความกลัวเข้าแทรกซึม เจินก็รีบก้าวเท้าอย่างฉับไว โดยระหว่างเดินก็กร่นด่าตัวเองที่คิดน้อยไปด้วย
รู้แบบนี้อ้อนให้เฮียเสือมาส่งหน่อยก็ดี
ถ้าผีหลอกได้หัวโก๋นแน่
ร่างบางทิ้งตัวนอนหงายบนเตียงนุ่ม หลังสับตีนแตกหอบแฮ่กจนถึงห้อง สายตาก็เหม่อมองเพดานอยู่นานหลายวินาที
ความจริงนี่มันเจ็บปวดชะมัดเลย..
‘คนที่ชีวิตไปต่อไม่รอด มีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนคนอื่นวะ’
‘ไปทำชีวิตตัวเองให้ดีเถอะว่ะ’
ถึงจะรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ต่างคนต่างก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ เธอรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ไปเจ้ากี้เจ้าการชีวิตใคร แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับรู้สึกแย่จนอยากร้องไห้เลย
‘ถ้ายังไม่เชื่อฟัง บัตรเครดิต รถและคอนโดจะถูกยึดทั้งหมด’
ทั้งที่ยังเอาชีวิตตัวเองไม่รอด แต่ดันปีกกล้าขาแข็งทำตัวหัวรั้นไม่ฟังใคร สุดท้ายทั้งบัตรเครดิตและชีวิตหรูหราบนคอนโดใจกลางเมืองก็หายวับไปกับตา
กลายเป็นลูกคุณหนูตกอับแบบนี้ไง..
ทำไงได้ในเมื่อเธอไม่ชอบการคลุมถุงชน
“อ่า ไม่รู้ด้วยแล้ว”
มือบางยกขึ้นขยุ้มหัว จนผมเผ้ามันชี้ฟูไม่เป็นทรง
วินาทีต่อมาก็หยัดกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้าเตรียมอาบน้ำ
คิดมากไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่ดี
นอนเอาแรงไว้ทำงานพรุ่งนี้ดีกว่า
เกือบเที่ยงคืนที่เจินรู้สึกตัวลืมตื่นตาขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าบ้าน
คนที่งัวเงียหยัดกายลุกขึ้นนั่ง หยิบเสื้อคลุมแขนยาวมาสวมทับ ก่อนจะเดินออกไปดูว่าใครมาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้
ทว่าพอเปิดประตูหน้าบ้าน ร่างของเฮียเสือก็กำลังคลานขึ้นบันได กอดขวดเหล้าขาวไว้แนบกาย ปากก็ร้องเพลงเศร้าจนหมดสภาพความสุขุมของพ่อเลี้ยงเสือ
“เฮียเสือ” เจินเท้าเอวแล้วถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่
เมาเหมือนหมาเลยเหอะ..
ถึงอย่างนั้นเจินก็เดินเข้าไปช่วยประคอง จับแขนเขามาพาดที่ไหล่ ใช้แรงทั้งหมดที่มีในการดึงเฮียเสือให้ลุกขึ้นมา
“ตัวหนักเป็นบ้าเลย เฮีย.. หนักโคตร” เจินกัดปากแน่น
คนตัวเล็กออกแรงฉุดกระชากเฮียเสือเข้ามาข้างใน ขนาดตัวที่ต่างกันทำเอาเธอเหงื่อตก ก่อนจะผลักอกเจ้าตัวให้นอนลงบนโซฟาเบดที่ห้องรับแขก
หมับ
ข้อมือเล็กที่ถูกคว้าไว้ ถูกคนเมาออกแรงกระชาก จนร่างบางล้มทับบนแผงอกแกร่ง ไม่วายโดนคนมือไวรวบตัวขึ้นไปนอนบนโซฟาด้วยกัน
“เฮียปล่อยเจิน”
“ยาหยี..”