7 วันแรก

1445 คำ
วันต่อมา ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมขมวดคิ้วแทบจะอัตโนมัติ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นยัยจุ้นแน่ๆ ผมเดินไปเปิดประตูด้วยความขี้เกียจปนหงุดหงิด แต่พอประตูเปิดออก สิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่แค่เธอคนเดียว “สวัสดีครับคุณลุง สวัสดีครับคุณน้า” ผมรีบยกมือไหว้ทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นคุณลุงธาราและคุณน้าไอวา ส่วนด้านหลังก็คือยัยพะพิ้ง ที่ยืนยิ้มกว้างเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ “สวัสดีจ้ะซันเดย์ พอดีน้ามาส่งพะพิ้งมาอยู่ที่คอนโดน่ะลูก เลยอยากมาทักหน่อย” คุณน้าวาว่าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ส่วนคุณลุงธาราก็พยักหน้ารับ “ครับ แม่ผมโทรมาบอกแล้วครับเมื่อวาน” ผมตอบสุภาพตามมารยาท แต่สายตาก็เหลือบมองไปทางด้านหลัง ยัยนั่นยังยืนยิ้มแฉ่งเหมือนจะบอกว่า ‘เห็นไหมฉันมาอยู่ข้างห้องพี่แล้วนะ’ “เกวลินนี่ไวตลอดเลย ยังไงลุงฝากซันเดย์ช่วยดูแลน้องด้วยนะ ถ้าน้องดื้อโทรหาลุงได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลย” คุณลุงฝากฝังผมอีกรอบ “ได้ครับคุณลุง” ผมรับคำตามมารยาท เพราะปฏิเสธก็คงดูเสียมารยาทเกินไป “งั้นลุงไม่รบกวนแล้วนะลูก ไว้เจอกัน” คุณลุงพูดพร้อมตบบ่าผมเบาๆ ก่อนพาคุณน้าวาเดินเข้าไปในห้องถัดไป ซึ่งแน่นอนเป็นห้องของยัยพะพิ้งนั่นแหละ ผมยังยืนอยู่หน้าประตู สบตากับเธอที่หันมายิ้มอีกครั้ง เธอยิ้มกว้างจนตาเป็นประกาย ไม่รู้จะยิ้มอะไรนักหนาผมเองก็ไม่เข้าใจ “สวัสดีค่ะพี่ซันเดย์ น้องขออนุญาตฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” “………” ผมไม่พูดอะไร ได้แค่ถอนหายใจเบาๆแล้วปิดประตูใส่หน้าทันที แกร็ก! "ไม่รู้จะยิ้มดีใจอะไรนักหนา" ผมพึมพำกับตัวเองภายในห้อง คิดว่าก็แค่ดูแลผ่านๆนั่นแหละมีปัญหาค่อยตักเตือน ผมทิ้งตัวลงบนโซฟา พลางเอามือขยี้ผมตัวเองเบาๆ ไม่รู้ทำไมภาพยัยจุ้นยิ้มแก้มปริเมื่อกี้ มันถึงยังวนอยู่ในหัวไม่ยอมหาย แล้วมันก็ทำให้ผมรำคาญขึ้นมาซะดื้อๆ แค่นึกถึงความวุ่นวายของยัยจุ้น ผมก็ต้องปวดหัวรอแล้ว -พะพิ้ง- “อยู่ห้องข้างๆก็อย่าไปกวนใจพี่เขามากนักนะลูก พี่ซันเดย์เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว ส่วนเราก็เป็นสาวแล้วเหมือนกัน ต้องรู้จักเว้นระยะห่าง ไม่ใช่จะเล่นซนเหมือนสมัยเด็กๆแล้วนะรู้ไหม” เสียงแม่เตือนดังขึ้นในขณะที่ฉันกำลังจัดเสื้อผ้าเก็บเข้าตู้ ตอนนี้ฉันยังอยู่ในชุดนักศึกษาอยู่เลย เพราะหลังจากเรียนภาคเช้าเสร็จ ฉันก็รีบกลับมาขนของแล้วย้ายมาที่คอนโดทันที จนยังไม่มีเวลาจะเปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ “หนูรู้แล้วค่ะแม่” ฉันตอบพร้อมถอนหายใจเบาๆ เพราะแม่เตือนฉันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ฉันฟังจนหูชาไปหมดแล้วด้วย “บอกทีไรก็รู้แล้วทุกที อย่าให้แม่รู้ว่าไปกวนจนใจพี่เขาจนพี่เขาต้องรำคาญนะ” “รับทราบค่ะคุณแม่!” ฉันยกมือขึ้นทำท่าตะเบ๊ะให้พ่อกับแม่เห็น ว่าฉันรับทราบแล้วจริงๆ แล้วท่านทั้งสองก็หัวเราะออกมาเบาๆ “จริงๆเลยนะลูกคนนี้ ดื้อเหมือนแม่สมัยสาวไม่มีผิด” พ่อพูดพร้อมยิ้มขำ “ดื้อเหมือนคุณนั่นแหละค่ะ อย่ามาโทษฉันคนเดียวสิ” แม่หันไปค้อนพ่อเบาๆ พ่อยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะโอบไหล่แม่เข้ามาแนบอกอย่างอ่อนโยน ฉันมองภาพตรงหน้าแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ ความรู้สึกอบอุ่นแล่นเข้ามาในใจทุกครั้งที่ได้เห็นภาพแบบนี้ ตั้งแต่จำความได้ ฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเลยสักครั้ง มีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มเต็มบ้านเสมอ ฉันโชคดีมากที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่ "จริงสิวันนี้คุณย่าทานข้าวที่บ้านด้วยแหละ พะพิ้งไปกับพ่อไหมลูก" "ไม่ไปได้ไหมคะคุณพ่อ หนูอยากเก็บของให้เสร็จวันนี้เลยค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีเวลาเก็บอีกค่ะ" "เดี๋ยวคุณย่าก็บ่นหาอีกลูก ไปสักแป๊บก็ได้มั้งแล้วค่อยกลับมาเก็บ" แม่เอ่ยพร้อมทั้งหันมามองฉันจริงจัง "ไม่ดีกว่าค่ะคุณแม่ ไว้วันหลังหนูค่อยไปหาคุณย่าใหม่ ฝากบอกคุณย่าว่าหนูคิดถึงคนยากมากๆนะคะ" "ไม่บอกให้หรอกคิดถึงก็ไปบอกเองแล้วกัน" "หื้อ...คุณพ่อดูสิคะคุณแม่ใจร้ายกับหนูอีกแล้วค่ะ" ฉันพูดพร้อมทั้งหน้ามุ่ยเบาๆ แกล้งอ้อนคุณพ่อตามเคย "โอเคไว้เดี๋ยวพ่อจะบอกให้นะลูก แต่ไม่รับประกันนะว่าคุณย่าจะหมดหรือเปล่า" "คุณพ่อน่ารักที่สุดเลยค่ะ" ฉันพูดพร้อมทั้งเดินไปหาพ่อ ก่อนจะหอมที่แก้มของพ่อทั้งซ้ายและขวา "ฮื้อ...หมั่นไส้" "หนูขอหอมคุณแม่ด้วยค่ะ" พูดแล้วฉันก็หันไปกอดแม่ แล้วก็หอมไปที่แก้มของแม่แรงๆจนชื่นใน หลังจากที่พ่อกับแม่กลับไปแล้ว ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ฉันทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มๆ ความนุ่มของที่นอนหนาๆทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจมลงในหมอกฝัน แต่พอหลับตาได้ไม่นาน ภาพของพ่อกับแม่กลับลอยเข้ามาในหัวจนใจมันเผลออ่อนไหว ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันแทบไม่เคยห่างจากพ่อแม่เลย อยู่ด้วยกันทุกวัน กินข้าวพร้อมกันทุกมื้อ พอได้ออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ก็อดคิดถึงพ่อกับแม่ไม่ได้เลยจริงๆ “ฮื้อ… ทำอะไรดีน้าาาา” ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ พร้อมคิดว่าจะทำอะไรดีไม่ให้ตัวเองเหงา "อาบน้ำก่อนดีกว่า" สุดท้ายก็คิดได้ว่าอาบน้ำคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะตั้งแต่ขนของมาถึง เหงื่อก็เริ่มซึมทั่วตัว แถมยังรู้สึกเหนียวเหนอะหนะจนน่ารำคาญ ฉันลุกจากเตียงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แล้วแช่ตัวลงในอ่างอย่างสบายอารมณ์ กลิ่นสบู่อ่อนๆลอยคลุ้งไปทั่ว เสียงเพลงเบาๆจากลำโพงที่ฉันเปิดฟังแบบชิลๆ เพื่อดื่มด่ำความสบายใจอย่างเต็มที่ เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ฉันก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมาก พอเดินออกจากห้องน้ำมาก็เห็นมุมห้องของตัวเอง แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที "เปลี่ยนมุมห้องใหม่ดีกว่า" ฉันอยากเปลี่ยนมุมห้องใหม่ อยากให้โซฟาหันหน้าออกไปทางกระจกบานใหญ่ จะได้มองเห็นวิวเมืองยามค่ำแบบเต็มตา เวลานั่งจิบโกโก้หรืออ่านหนังสือคนเดียวมันคงดีไม่น้อย ฉันยกยิ้มบางๆกับความคิดของตัวเอง แล้วเริ่มขยับเฟอร์นิเจอร์ทีละชิ้น ร่างเล็กในชุดผ้าเช็ดตัวพันกายพะรุงพะรังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง -ซันเดย์- คลื่ก~ คลื่ก~ “โธ่เอ้ย! ห้องข้างๆทำอะไรวะเนี่ย!” ผมสบถออกมาดังๆด้วยความหงุดหงิด เสียงคลื่กๆนั้นดังขึ้นติดต่อกันไม่หยุด ไม่รู้ว่ายัยจุ้นนั้นทำอะไรอยู่ ทั้งที่ห้องเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี แต่ยัยนั่นทำให้เสียงทะลุออกมาจากห้องได้นี่มันไม่ปกติแล้วนะ คลื่ก~ คลื่ก~ “โธ่เว้ย คิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวรึไงวะ!” ผมเอ่ยเสียงเข้ม พร้อมฝืนความอดทนมาพักใหญ่ๆ ตอนแรกผมพยายามจะไม่สนใจ แต่เสียงนั้นมันดังรบกวนสวนประสาทของผมมากเกินไปแล้ว สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินตรงไปยังประตูห้องของเธอทันที ตอนนี้ความหงุดหงิดมันท่วมท้นเกินกว่าจะนิ่งเฉยได้อีกต่อไป พอออกมายืนที่หน้าห้อง เสียงคลื่กๆนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นมาอีก ติ๋งสนอง!! ผมกดออดทันที เสียงคลื่กหยุดชะงักไปชั่วครู่ แต่ไม่มีใครเปิดประตู ผมสูดหายใจลึกๆพยายามสงบสติอารมณ์ แต่เสียงคลื่ก~ คลื่ก~ ก็กลับดังขึ้นมาอีกครั้งเหมือนไม่ได้สนใจเสียงออดเลยด้วยซ้ำ "วันแรกก็เล่นฉันเลยหรอยัยตัวดี หึ!!" ติ๋งนอง!! ผมกดออดอีกครั้ง คราวนี้เสียงหยุดลงนานขึ้น แต่ก็ยังไม่เห็นใครตอบรับ ผมกัดฟันแน่น รู้สึกถึงความหงุดหงิดและความอดทนที่แทบจะหมดลงเต็มที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม