“เหมยลี่...”
เหวินเทียนเรียกนางแต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะเหมยลี่รีบเดินออกจากหอหนังสือของเขาอย่างรีบร้อน แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มอย่างพึงพอใจและรู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่พบหน้าหญิงผู้อ้างตัวว่าเป็นญาติห่าง ๆ ครั้งแรก และไม่ใช่ว่าเขาจะมีความรู้สึกเช่นนี้กับหญิงทุกคน คราแรกที่เห็นหน้างามและสบนัยน์ตาเป็นประกายวาววามของนางเขาก็รู้สึกราวกับต้องมนต์สะกด เหมยลี่ไม่เหมือนหญิงทั่วไปที่เขาเคยพบ แม้เป็นครั้งแรกแต่ก็น่าแปลกที่ใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ
แม่ทัพหนุ่มถอดเสื้อคลุมออกและนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งเป็นที่ที่เขาชอบมากที่สุดเพราะมันทำให้ผ่อนคลายเวลามีโอกาสได้กลับมาเยือนบ้านหลังกรำงานอยู่แต่ในวังหลวง บ่อยครั้งก็ต้องออกลาดตระเวนเพื่อตรวจตราความสงบรอบรั้ววังจนไม่ค่อยมีเวลาได้กลับมาเยี่ยมเยือนมารดา จวบกระทั่งวันนี้ที่เขาเจียดเวลาได้และคิดว่าอยากกลับมาพักผ่อนสักไม่กี่ราตรีแล้วกลับไปรับงานหนักรับใช้ฮ่องเต้ต่อไป เหวินเทียนคลี่กระดาษบนโต๊ะและทำท่าจะหยิบพู่กันก็ต้องชะงักเมื่อร่างบอบบางของเหมยลี่นวยนาดเข้ามาในห้อง นางเข้ามาหยุดยืนข้างๆ เขาและค่อย ๆ ยกกาและถ้วยน้ำชาวางลงบนโต๊ะ และขณะที่นางอยู่ใกล้แม่ทัพหนุ่มเขาก็ได้กลิ่นน้ำอบหอมอวลมาจาเรือนร่างอ้อนแอ้นนั้น เหมยลี่ยิ้มหวานแล้วถามว่า
“ท่านพี่เทียน...ท่านจะทำอะไรหรือคะ?”
“พี่กำลังจะร่ายกลอนเล่นๆ”
“อุ๊ยตาย...ท่านพี่ช่างเก่งเหลือเกิน เป็นนายทหารแข็งแกร่งแต่ก็สามารถร่ายกลอนได้ด้วย”
“ไม่เห็นแปลกเลยนะเหมยลี่ มันเป็นอารมณ์ยามพี่ผ่อนคลายก็เท่านั้น”
“แต่ก็ทำไม่ได้ทุกคนนะคะท่านพี่ การร่ายกลอนนี้เป็นอารมณ์ที่งดงาม มันขัดกันมากเลยนะคะกับแม่ทัพที่ต้องกรำศึกในสนามรบ”
“แต่โบราณมานักปกครองที่ดีต้องเรียนรู้ทั้งศาสตร์การต่อสู้และเรื่องดนตรีเพื่ออการกล่อมเกลาจิตใจ แล้วเจ้าเล่าเหมยลี่ เห็นว่าเจ้าเขียนกลอนได้นี่มิใช่หรือ ไหนลองเขียนให้พี่อ่านสักบท”
“กลอนของเหมยลี่ไม่เพราะพริ้งเท่าใด”
“แต่พี่อยากอ่าน”
เหวินเทียนจับมือเรียวบางของนางและวางพู่กันลงในมือบอบบางนั้น และในห้วงเวลานั้นเองเหมยลี่รู้สึกราวกับมีกระแสร้อนวาบเข้าไปในกาย นางเผลอสบนัยน์ตาเข้มของเหวินเทียนที่จ้องมองนางด้วยดวงเป็นประกาย หญิงสาวยกยิ้มอ่อนหวานและแสดงท่าทีเอียงอาย นี่นางรู้สึกเขินจริง ๆ หาได้เสแสร้งไม่ ใจที่อยากยั่วยวนอย่างอี้จีในหอคณิกากลับกลายเป็นความเอียงอายอย่างสาวน้อยไร้เดียงสาไปเสียได้
เหมยลี่คลี่รอยยิ้มพิมพ์ใจและค่อย ๆ บรรจงจุ่มปลายพู่กันลงในถาดหมึกก่อนค่อย ๆ เขียนลงบนกระดาษ ขณะนางโน้มตัวลงไปนั้นทำให้ยิ่งใกล้ชิดกับแม่ทัพหนุ่มจนรู้สึกได้ถึงกระไอที่ถ่ายเทมาจากร่างของกันและกัน พอเขียนเสร็จเหวินเทียนก็ปรบมือให้
“เจ้าเก่งมากเลยเหมยลี่...นี่เจ้าเก่งขนาดนี้ไปเรียนรู้มาจากที่ไหน”
“มีคนสอนให้ข้า...เอ้อ...เป็นป้าของข้าเองค่ะท่านพี่”
ป้ารึ...แท้ที่จริงก็คือแม่เล้าแห่งหอคณิกานั่นล่ะที่ถ่ายทอดวิชาการจรรโลงใจชายให้อี้จีอย่างนาง เหมยลี่เรียนรู้หลายอย่างก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ สร้างความรื่นรมย์ให้บุรุษเพียงแต่นางยังไม่เคยเสียพรหมจรรย์ให้ใคร สักครู่นางจึงเอ่ยอีกว่า
“นอกจากเขียนกลอนเหมยลี่ยังเล่นดนตรีเป็นอีกด้วยนะคะท่านพี่”
“จริงหรือ...อา...ข้าอยากฟังเจ้าเล่นดนตรีเสียแล้วซี เจ้าเล่นเครื่องดนตรีอะไรได้กันเล่า”
“เหมยลี่เล่นพิณได้ แต่ว่า...ที่นี่คงไม่มีเครื่องดนตรีให้เหมยลี่เล่นหรอกค่ะ”
“มีซี...ที่ห้องของพี่มีพิณที่ไม่ได้เล่นมานานแล้ว”
บทที่ 4
“จริงหรือคะท่านพี่...แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไรรึ”
หากข้าเข้าไปเล่นพิณในห้องของท่านพี่ก็กลัวว่าจะไม่เหมาะ”
“มันหาได้อยู่ในห้องนอนของข้า พิณนี้อยู่ที่หอศาลาริมน้ำ เป็นสถานที่พักผ่อนที่ท่านพ่อสร้างขึ้นและไม่ค่อยมีใครเข้าไปยุ่งย่าม”
“จะดีหรือคะ ข้าเกรงว่าจะมีคนครหาเอาได้”
“พี่มีสิทธิ์สั่งใครก็ได้ในบ้านหลังนี้รองจากท่านแม่ เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก แค่ให้เจ้าเล่นพิณให้พี่ฟัง มันคงไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม”
เหวินเทียนไม่ได้พูดเปล่าแต่ยังส่งสายตาให้หญิงสาวอย่างอ่อนหวานซึ่งก็ทำให้เหมยลี่ประหลาดใจว่าเหตุใดนางจึงหวั่นไหวกับสายตาของแม่ทัพหนุ่มที่ฮูหยินใหญ่เป็นกังวลว่าเขาไม่ชอบผู้หญิง ทั้งสายตาและคำพูดของเขาออกจะอ่อนหวานขนาดนี้ ขนาดนางเองพบผู้ชายมามากต่อมากก็ยังรู้สึกขนลุกและตื่นเต้นเวลาอยู่ใกล้เขา เหมยลี่ยิ้มให้และค่อย ๆ ถอยออกจากโต๊ะอ่านหนังสือของแม่ทัพเหวินเทียน แต่ก่อนนางจะออกจากหอหนังสือก็ได้ยินเขาพูดไล่หลังว่า
“อย่าลืมเสียเล่าเหมยลี่...พรุ่งนี้เจ้าต้องเล่นพิณให้พี่ฟังที่หอศาลาดอกไม้ริมน้ำ พี่อยากฟังตอนใกล้อัสดง”
เหมยลี่หันไปส่งสายตาฉ่ำ ๆ ให้ก่อนเดินกลับออกไปด้วยหัวใจเต้นระส่ำ นางเป็นอะไรกันนะนี่ พอกลับไปถึงห้องก็ไม่เป็นอันทำอะไร ยังนิ่งนึกถึงใบหน้าหล่อปานเทพของลูกชายฮูหยินใหญ่ และพยายามเตือนตัวเองว่านางมาที่นี่ก็แค่ทำหน้าที่ยั่วยวนให้แม่ทัพผู้กรำแต่งานศึกหันมาสนอกสนใจอิสตรีก็เท่านั้น แต่...เท่านั้นจริงรึนี่