นิวยอร์ก
มหานครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและความบันเทิง และยังเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่ติดอันดับทอปของโลก หนึ่งในหลายแห่งที่ผู้คนต่างก็รู้จักกันดีอย่างเช่น รูปปั้นเทพีเสรีภาพ ตึกเอ็มไพร์สเตตที่เป็นจุดชมวิวสัญลักษณ์ของนิวยอร์ก ย่านไทม์สแควร์ที่คึกคัก เต็มไปด้วยแสงสีเสียงไม่เคยหลับใหลตลอดทั้งวันทั้งคืน รวมถึงสะพานแขวนอันเลื่องชื่อของโลกและเก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาอย่างสะพานบรูคลิน
เธออยู่ที่นี่มาสี่ปีแล้ว...
ขวัญรักมองวิวทิวทัศน์เต็มไปด้วยตึกสูงที่แสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่ง ยิ้มรับวันใหม่เหมือนทุกเช้าผ่านห้องพักหรูหราที่เธออาศัยอยู่
ชีวิตความเป็นอยู่ของเธอไม่เลวเลยทีเดียว...
ต้องขอบคุณพุฒาที่ช่วยเป็นธุระให้เธอทุกอย่าง ลำพังถ้าจะให้เธอมาอยู่ในย่านคนรวยที่ต้องจ่ายเงินท่วมหัว เธอคงไม่มีปัญญาหรอก ที่นี่เป็นห้องชุดของพุฒา เขาให้เธอมาอยู่ฟรี แต่ขวัญรักเกรงใจเลยต่อรองขอจ่ายค่าห้อง สุดท้ายเธอได้ที่พักทั้งถูกและดี เพราะเขาเถียงสู้เธอไม่ได้
ชายหนุ่มเป็นเพื่อเก่าแก่ที่ดีกับเธอเสมอ เธอรู้จักกับเขามาพร้อมกับๆ นุชจรินทร์ รวมถึงไอศูรย์และเนตรกมล เพราะพ่อแม่ของพวกเธอรู้จักและทำธุรกิจร่วมกัน ลูกๆ จึงพลอยสนิทสนมและอยู่ในสังคมเดียวกัน มีบ้านอยู่ใกล้กัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน
เธอแยกกับเขาตอนที่ครอบครัวของพุฒาหย่าร้าง ตอนนั้นแม่เธอเพิ่งเสียชีวิตพอดี ส่วนแม่เขาพบรักกับเศรษฐีวัยชราชาวอเมริกัน จึงตัดสินใจย้ายตามมาอยู่ที่นิวยอร์ก พ่อเลี้ยงเขาเป็นพ่อม่าย ภรรยาเก่ากับลูกเสียชีวิจากอุบัติเหตุและไม่มีญาติสนิทที่ไหนอีก ท่านจึงรักเอ็นดูพุฒาเหมือนกับลูกในไส้ของท่าน ยกทรัพย์สมบัติและบริษัทใหญ่โตให้เขาเป็นผู้สืบทอด ส่วนท่านก็ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข มีแม่ของพุฒาคอยดูแลเอาใจใส่
ตั้งแต่จากเมืองไทย เธอเข้ามาทำงานในบริษัทของตระกูลเบรย์เดนที่พุฒาคุมบังเ**ยน อยู่แผนกวิศวกรรมการเงินและเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของเขา พุฒาผลักดันเธอให้แสดงความสามารถและศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ทำให้เธอเป็นที่รู้จักในหมู่นักธุรกิจของนิวยอร์กไม่น้อย มีหลายบริษัทอยากจะขอซื้อตัวเธอ แต่เธอไม่ตอบรับ แม้เงินเดือนและผลประโยชน์จะมากแค่ไหนก็ตาม
พุฒาไม่เคยห้ามหากเธอคิดจะไป แต่ขวัญรักสนิทใจและสบายใจที่จะอยู่กับเขา ความสัมพันธ์ของพวกเธอเป็นมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง แนบแน่นเป็นทั้งเพื่อนและคู่หู
เธอรู้ว่าพุฒาคิดอย่างไรกับเธอ?
เขาแสดงออกตั้งแต่ตอนอยู่ที่เมืองไทยจนถึงตอนนี้ แต่เขาไม่เคยเร่งรัดหรือรบเร้าให้เธอตอบรับ เขาเข้าใจเธอทุกอย่าง เข้าใจความทุกข์และความเจ็บปวดที่เธอเคยได้รับ เขาใจเย็นและอดทนให้เวลาเธอคิดอย่างเต็มที่ สิ่งนี้ทำให้เธอไม่อึดอัดใจที่จะคบกับเขา
ความเข้าอกเข้าใจและดีเสมอต้นเสมอปลายของเขา ทำให้เธอไม่อาจมองข้าม...
ผ่านมานานสี่ปี ความเจ็บปวดก็ลดลงจนเธอไม่ปิดกั้นหัวใจตัวเองเหมือนตอนแรก เธอเริ่มที่จะให้โอกาสเขาและโอกาสตัวเอง ตอนนี้เธอยังไม่ได้ตกลงปลงใจเป็นแฟนกับเขาก็จริง แต่ก็เริ่มเรียนรู้กันมาสักระยะแล้ว
ขวัญรักชงกาแฟจากเครื่องชงอัตโนมัติ สูดกลิ่นหอมกรุ่นแล้วจิบไปพลาง เช้านี้ไม่มีงานด่วน มีเวลาให้เธอละเลียดกับกาแฟแก้วโปรดเหลือเฟือ ทีแรกตั้งใจจะเช็คโทรศัพท์มือถือว่านุชจรินทร์ส่งข้อความหาเธอหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าหล่อนจะโทร. มาเอง
“อะไรทำให้คนขี้งกแบบแกยอมเสียค่าโทรศัพท์แพงๆ มาหาฉันฮะ”
เธอแซวทันทีที่รับสาย อีกฝ่ายก็ปากไวแซวกลับมาทันควัน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันส่งบิลไปเรียกเก็บที่แก”
“ว่าแต่มีอะไร”
ขวัญเลิกแหย่ ถามเข้าประเด็น เธอรู้ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญหรือเร่งด่วน นุชจรินทร์คงไม่โทร. มาแน่ ปกติพวกเธอส่งข้อความหากันแทบทุกวันอยู่แล้ว
เธอรอคนทางปลายสายอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะได้ยินเสียงเพื่อนสนิทเอ่ยอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ไอศูรย์กำลังจะหมั้น”
ขวัญรักอึ้ง ทั้งที่ทำใจเรื่องนี้มานานแล้วแท้ๆ แต่พอได้ยิน ความรู้สึกก็ยังดิ่งวูบเหมือนตกจากตึกสูงอยู่ดี กว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้แต่ละคำรู้สึกว่าลำบากราวกับมีก้อนแข็งๆ อุดตันอยู่ที่ลำคอ
“เมื่อไหร่”
“อีกสองอาทิตย์”
เร็วขนาดนั้นเลยหรือ?
ตอนเธอตัดใจจากมา นึกว่าไอศูรย์จะอดรนทนไม่ไหว รีบแต่งงานกับเนตรกมลตั้งแต่เท้าเธอยังไม่แตะแผ่นดินอเมริกาเสียอีก แต่รอมานานถึงสี่ปีก็ยังไมได้ยินข่าวหมั้นหมายของพวกเขาเสียที จนเธอเองยังนึกแปลกใจ ตอนนี้บทจะหมั้นก็หมั้นเลย
ไอศูรย์... คุณนี่ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด!
“แกยังไหวไหม?” นุชจรินทร์ถามด้วยความเป็นห่วง
“ไหวสิ”
“แน่ใจเหรอ... แกยังรักหมอนั่นอยู่รึเปล่า”
ถามว่ายังรักยังรู้สึกไหม?
ถ้าบอกว่า ‘ไม่’ ก็คงโกหก อย่างไรเขาก็เห็นผู้ชายที่เธอรักมายาวนาน เป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวในชีวิต คงไม่อาจลืมได้ง่ายๆ ตลอดชีวิตนี้เธอยังไม่มั่นใจเลยว่า...
จะมีวันที่สามารถลืมเขาได้สนิทใจไหม?
แต่สี่ปีที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลจากบ้านเกิดมา เธอค่อยๆ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้ดี อยู่อย่างมีความสุข อะไรที่ทำให้เป็นทุกข์ก็หลีกเลี่ยงซะ หากไม่เอาตัวเอาใจเข้าไปพัวพัน ก็จะไม่ต้องเจ็บปวดอีก
เธอเองไม่ใช่คนโลภ เธอไม่ได้หวังจะมีความสุขที่สุดในโลก เพราะเข้าใจในวัฏจักรดีว่าไม่มีใครได้ทุกสิ่งสมดังใจไปทั้งหมด เธอจึงพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก
ชีวิตทุกวันนี้ถึงจะไม่สุขที่สุด แต่ก็ไม่เป็นทุกข์เลย
“ฉันหย่ากับเขามานานสี่ปีแล้วนะแก อะไรที่ไม่จำเป็นฉันตัดทิ้งไปหมดแล้ว ชีวิตฉันตอนนี้ดีอยู่แล้ว ฉันไม่อยากรนหาเรื่องให้ตัวเองอีก”
“ฉันได้ยินแกพูดแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย”
“แกโทร. มาเพราะเรื่องนี้เหรอ”
“พ่อแกขอร้องให้ฉันมาช่วยพูดกับแก ท่านอยากให้แกกลับบ้านสักครั้ง”
หญิงสาวยิ้มขื่น...
จนป่านนี้แล้วท่านยังจะคิดว่าเธอเป็นลูกอีกหรือ?
วันนั้นที่เธอได้ยินชมโฉมกับเนตรกมลคุยกันว่า พ่อเธอยอมให้สามีหย่ากับเธอและแต่งงานกับน้องสาวแทน ท่านยังจำได้รึเปล่าว่าเธอก็เป็นลูกสาวคนหนึ่งของท่าน
เธอจากมาอย่างคนที่ไร้ญาติ ต้องสู้กัดฟันทนกับความอ้างว้างด้วยตัวคนเดียว ถึงจะเจ็บปวดเจียนตาย แต่ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่เคยติดต่อใครเลยสักคน เลือกที่จะคิดว่าคนที่เธอรักที่นั่นได้ตายจากไปหมดแล้ว
ตอนนี้อยากให้เธอกลับไป... เพื่ออะไร?
ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิดว่าท่านอาจจะนึกเสียใจ เกิดสงสารเธอที่เป็นลูก เลยอยากจะชดเชย เธอก็ไม่ต้องการ
ไม่ว่าจะความรักของพ่อหรือความรักของเขา ตอนนี้ล้วนไม่มีค่ากับเธอแล้ว...
“ฉันฝากแกช่วยส่งของขวัญไปแทนก็แล้วกัน”
“โอ. เค. เดี๋ยวฉันจัดการให้”
“ขอบใจนะ”
“เพื่อนกัน ขอบใจทำไม”
ขวัญรักวางสายอย่างนึกขอบคุณที่นุชจรินทร์ช่างรู้ใจเธอ จึงไม่ถามและยังเต็มใจช่วยเธออีก ถึงแม้การอยู่ไกลกันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเธอได้ แต่เธอยังไม่มั่นใจว่าเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาได้รึเปล่า เธอกลัวตัวเองจะแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น เธอกลัวถูกพวกเขาหัวเราะเยาะ
ที่กลัวที่สุดคือ... กลัวตัวเองจะตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง!
จะว่าเธอหนีก็ช่าง แต่เธอไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอันใดกับพวกเขาอีกแล้ว ไม่อยากเจ็บซ้ำซาก ไม่ต้องการจดจำผู้ชายใจดำคนนั้นอีกแล้ว
ไอศูรย์... ชาตินี้ฉันขอลาขาดจากคุณ