เสียงรองเท้ากระทบพื้นถนนคอนกรีตดังแผ่วเบาในยามเย็นที่เงียบสงัด ฉันเดินกลับหอพักตามทางเดิมเหมือนทุกวัน แสงไฟจากเสาไฟข้างทางส่องลอดผ่านใบไม้ที่เริ่มไหวเอนเบา ๆ จากลมเย็นของต้นฤดูฝน
ปกติหน้าปากซอยจะมีศาลาเล็ก ๆ ตั้งอยู่ข้างจุดจอดวินมอเตอร์ไซค์ บางครั้งก็มีคนงานนั่งพัก บางวันก็ไม่มีใคร…แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน
เขานั่งอยู่ตรงนั้น
ร่างสูงที่คุ้นตานั่งพิงเสาศาลา เท้าข้างหนึ่งเหยียดออก ส่วนอีกข้างงอขึ้นเล็กน้อย มือสองข้างประสานกันอยู่บนตัก ท่าทางดูสบาย ๆ แต่สายตาที่มองมาทางฉันกลับไม่ใช่สายตาของคนที่แค่ผ่านมา
เขาเห็นฉันแน่ ๆ
และฉัน…ไม่มีทางเดินเลี่ยง
เพราะทางกลับหอของฉันต้องผ่านศาลานั่น และตรงเข้าซอยถัดไปถึงจะถึงที่พัก
ใจฉันเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะตกใจ…แต่เพราะไม่รู้ว่าเขามานั่งตรงนี้ทำไม และต้องการอะไรจากฉันอีก
“คิดว่าจะหนีฉันได้หรือไง”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง
ฉันได้ยินชัดเจน…แต่เลือกจะเมินเฉย ตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น หวังแค่ว่าจะเดินผ่านตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด
แต่ยังไม่ทันพ้นศาลา
จู่ ๆ แขนฉันก็ถูกกระชากอย่างแรงจากด้านหลัง
“โอ๊ย! เป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย!”
ฉันหันกลับไปตะคอกใส่เขาอย่างไม่พอใจ พร้อมพยายามสะบัดแขนออก
สายตาเขาแน่วแน่ และ…โกรธ
โกรธในแบบที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม
“แล้วเธอบล็อกไลน์ฉันทำไม?”
เขาถามเสียงแข็ง แววตาก็จริงจังเกินกว่าจะบอกว่าแค่ถามเล่น ๆ
“นี่…อย่าบอกนะ ว่านายมานั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ เพราะจะแค่มาถามเรื่องแค่นี้อ่ะ?”
ฉันเบะปาก ข่มอารมณ์ที่กำลังปั่นป่วนในใจ
“ใครมารอเธอไม่ทราบ?” เขาสวนกลับแทบจะทันที “ฉันแค่มานั่งพัก แล้วเธอก็เดินผ่านมาเอง”
“เชื่อก็ควายละ” ฉันพึมพำเบา ๆ แต่มั่นใจว่าเขาได้ยิน
“หึ…ปากดีฉิบหาย”
เขาแค่นหัวเราะ ก่อนจะสบตาฉันด้วยสายตาที่ทั้งหงุดหงิดและ…แปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้
“นี่…” ฉันถอนหายใจอย่างเหลืออด “ฉันถามจริงนะ นายเป็นอะไรมากหรือเปล่า ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไหนจะเรื่องที่นายเป็นสายรหัสฉันอีก…”
ฉันชี้หน้าเขาอย่างเอาเรื่อง
“นี่นายตั้งใจจะแกล้งฉันใช่ไหม?”
เขายักคิ้วอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่สายตากลับไม่เหมือนเดิม มันเหมือนจะมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ข้างในนั้น…อะไรบางอย่างที่ฉันยังไม่เข้าใจ
“ไม่รู้สิ…” เขาตอบหน้าตาย “หน้าเธอมันเหมือนแม่ฉันมั่ง เลยอยากแกล้ง”
“โอ้ยย! ไอบ้า! ปล่อยนะ!” ฉันพยายามสะบัดแขนออก “ฉันต้องรีบกลับห้องไปเตรียมตัวเข้างาน ไม่ได้ว่างเหมือนใครบ้างคน!”
“ก็ไปสิ” เขายักไหล่ “ฉันไม่ได้ใส่ปอกคอเธอไว้นี่”
ฉันเบิกตากว้าง “ไอ้โรคจิตเอ๊ย!”
เขาหัวเราะเบา ๆ กับคำด่าของฉัน ราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สากับมันเลยสักนิด แถมยังจ้องหน้าฉันแบบไม่คิดจะหลบสายตา
“มองอะไรนักหนา! ไม่เคยเห็นคนสวยหรือไง?” ฉันแว้ดใส่เสียงสูง
เขายักคิ้ว “อืม…ไม่เคยเห็นคนสวยที่ปากหมาขนาดนี้มาก่อนน่ะสิ”
“นี่….นายย” ฉันพูดพร้อมทำท่าจะต่อยเขา
“ถ้าเธอจะใช้หมัดเป็นข้ออ้างในการแตะตัวฉันล่ะก็…ตามสบายเลย” เขาพูดหน้าตาย แต่แววตากลับซ่อนรอยยิ้มกวน ๆ ไว้ชัดเจน
“ไอบ้า!” ฉันว่าแล้วก็รีบเดินหนีทันที
แต่เสียงเขาก็ยังตามมาด้านหลัง
“แล้วจะไปเข้างานแน่เหรอ? ไม่กลัวพี่รหัสอย่างฉันจะตามไปแกล้งอีกเหรอ?”
ฉันหันขวับกลับไปทันที “ถ้านายโผล่มา ฉันจะเอาน้ำสาดหน้าให้รู้แล้วรู้รอดเลย!”
เขายกมือทำท่ารับน้ำ “ถ้าเป็นน้ำเย็น ๆ ของเธอ…ฉันไม่ถือหรอก”
บ้าจริง…หน้าเริ่มร้อนแล้วสิ!
“แล้วก็ปลดบล๊อกฉันด้วย” เขาตะโกนบอกฉัน
ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ รีบก้าวเท้าออกจากตรงนั้นด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หัวใจเต้นแรงปนกับความโมโหที่ยังคุกรุ่นในอก
“น้อยยยย อีตาบ้านี่… ทำไมต้องมาเล่นกับความรู้สึกของฉันแบบนี้ด้วยวะ!” ฉันสบถในใจอย่างหงุดหงิด
แต่พอคิดไปคิดมา… ทำไมเขาถึงได้ทำให้ใจฉันสั่นได้ขนาดนี้นะ?
เดินมาถึงหอพัก ฉันถอนหายใจลึก ๆ พยายามรวบรวมสติให้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง
คืนนี้… ฉันต้องเข้างานให้ได้ และไม่ให้เขามาทำให้ฉันว้าวุ่นใจแบบนี้อีก!
…….
-ร้านชิวชิว-
บรรยากาศผับชิว ๆ ในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงนีออนนุ่มนวลสลัว ๆ ที่ส่องผ่านโคมไฟสีฟ้าและม่วงประดับอยู่ตามผนังและเพดาน ทำให้บรรยากาศดูทันสมัยแต่ไม่ร้อนแรงเกินไป
เสียงเพลงแนวลอฟต์ เฮาส์ หรือซาวด์โซลที่มีจังหวะพอดี ๆ คลอเบา ๆ ไม่ดังมากจนเกินไป เพื่อให้คนที่มาได้คุยกันอย่างสบาย ๆ
พื้นที่นั่งถูกจัดแบ่งเป็นโซฟาหนังนุ่ม ๆ และเก้าอี้บาร์ที่ตั้งอยู่รอบ ๆ เคาน์เตอร์บาร์ไม้สวยงาม มีแสงไฟสีอบอุ่นตกแต่ง เพิ่มความรู้สึกเป็นกันเอง
ผู้คนในร้านมีทั้งกลุ่มเพื่อนที่มานั่งเม้าท์มอย หรือคู่รักที่นั่งซบไหล่กันอย่างหวานชื่น บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ผสมผสานกับจังหวะเพลงอย่างลงตัว
ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดผ่าน ทำให้บรรยากาศสบาย ไม่ร้อนอบอ้าว
“อ้าว มาแล้วหรอ มาเร็วอยู่นะเนี่ย!”
เสียงพี่มะเหมี่ยวดังขึ้นจากมุมเคาน์เตอร์ ท่ามกลางแสงไฟนวลสลัวที่สะท้อนกับกระจกและโต๊ะไม้ ทำให้ร้านดูอบอุ่นและเป็นกันเอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำหอมผสมกับกลิ่นเครื่องดื่มจากบาร์ ลอยคลุ้งไปทั่วบรรยากาศ
“อ่อค่ะ เมื่อวานกลับเร็ว วันนี้เลยรีบมา เกรงใจพี่ ๆ”
ฉันตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ พลางจับปลายเสื้อที่ใส่อยู่เล็กน้อย
พี่มะเหมี่ยวหรี่ตามองก่อนจะถามขึ้น
“แล้วนี่จะใส่ชุดนี้เหรอ?”
“อ่อ…แบมยังไม่ได้ไปซื้อชุดใหม่เลย เลยว่าจะขอยืมชุดของร้านไปก่อนช่วงนี้ พี่โอเคไหมคะ?”
ฉันพูดเสียงเบา เพราะกลัวจะรบกวนเกินไป
“ได้สิ ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวเจ้าคิวก็จะหาชุดใหม่ ๆ มาลงเพิ่มอีก”
เธอยิ้มอย่างใจดี ทำให้ความเกร็งของฉันคลายลงทันที
“ขอบคุณมากค่ะพี่”
ฉันโค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ
“ไปเตรียมตัวเถอะ วันนี้ไอเกอร์ก็จะเข้าร้านเหมือนกันนะ” เธอพูดปนยิ้มขณะเดินกลับไปยังบาร์
คำว่า “ไอเกอร์” ทำเอาฉันชะงักไปชั่วครู่ อยู่ๆก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างง่ายดาย
ท่ามกลางเสียงเพลงช้า ๆ ที่คลออยู่ในร้าน กับแสงไฟสีส้มที่สะท้อนบนผนังไม้ ความรู้สึกตื่นเต้นเริ่มค่อย ๆ ปะทุในใจ
ฉันใช้เวลาเปลี่ยนชุดอยู่ไม่นาน
วันนี้ฉันเลือกใส่เดรสเกาะอกสีชมพูอ่อน เนื้อผ้าเบา ๆ พริ้วนิด ๆ เวลาขยับเดิน มันดูน่ารักกำลังดี ไม่โป๊เกินไปแต่ก็พอให้รู้สึกมั่นใจ
ฉันยืนหน้ากระจกเช็กตัวเองอีกครั้ง ผมถูกปล่อย ให้ดูสบาย ๆ ตามสไตล์ร้าน ก่อนจะหยิบลิปกลอสขึ้นมาทาเบา ๆ เติมความสดใสให้กับลุคคืนนี้
เสียงพี่มะเหมี่ยวตะโกนเข้ามาจากหน้าร้าน
“แบม! เสร็จแล้วใช่ไหม โต๊ะเดิมนะ ลูกค้าขอให้แบมไปดูแล!”
ฉันรีบตอบกลับไปทันที
“อ่อ ได้ค่ะพี่เหมี่ยว!” โต๊ะเดิมงั้นเหรอ…
หรือว่าจะเป็นของพี่ไม้อีกแล้ว?
ฉันสูดหายใจลึกหนึ่งที พยายามสะกดอาการลังเลไว้ข้างใน แล้วเดินออกจากหลังร้านไปอย่างมั่นใจ พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่แต่งไว้บนริมฝีปาก แม้ในใจจะไม่ค่อยอยากยิ้มเท่าไรนัก
แสงไฟสีส้มอมทองส่องกระทบโต๊ะริมกระจก โต๊ะเดิมที่คุ้นตา และแน่นอน เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้ ฉันก็เห็นกลุ่มพี่ไม้กับเพื่อน ๆ ของเขานั่งอยู่เต็มโต๊ะ
ฉันยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยทักทายอย่างมืออาชีพ
“สวัสดีค่ะ พี่ไม้ พี่หนึ่ง พี่นาย พี่ตูน แหม วันนี้หล่อทุกคนเลยนะคะ”
ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ในใจก็รู้สึกฝืนสุด ๆ
พี่ไม้เป็นคนตอบกลับก่อนทันที พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประจำตัว
“ก็พี่ตั้งใจมาหาน้องแบม พี่ก็อยากดูดีในสายตาน้องแบมไงล่ะ”
“เห้ย ๆ เบาได้เบาเว้ยเพื่อน”
เสียงพี่หนึ่งแซวทันควัน ทำให้ทั้งโต๊ะหัวเราะกันเบา ๆ
ฉันพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยถาม
“ดื่มอะไรกันดีคะ เดี๋ยวแบมชงให้” ฉันถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ พยายามไม่แสดงสีหน้าที่แท้จริงออกไป
พี่ตูนยกมือก่อนใคร
“วิสกี้โซดาแก้วนึงครับน้องแบม ขอเข้ม ๆ เลยนะ”
“เบียร์เหมือนเดิมครับ” พี่นายเสริม
“ของพี่อะ ขอเป็น…รอยยิ้มจากน้องแบมก็พอแล้ว” พี่ไม้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริง พร้อมสายตาที่มองมาแบบไม่ละไปไหน
ฉันยิ้มจาง ๆ ตอบกลับ “งั้นเดี๋ยวแบมจัดให้ค่ะ…ทั้งรอยยิ้มและเครื่องดื่ม”
พี่หนึ่งหัวเราะเสียงดัง “ไอ้ไม้ มึงแม่ง โดนเขาตัดบทเฉย”
เสียงหัวเราะของพวกเขาดังขึ้นอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ฉันหันหลังกลับไปยังเคาน์เตอร์บาร์ แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ฉันเริ่มผสมเครื่องดื่มอย่างคล่องมือ แสงไฟวอร์มโทนเหนือศีรษะสะท้อนกับแก้วคริสตัลใส ๆ จนดูเหมือนฉันกำลังอยู่ในฉากหนังสักเรื่อง หนังที่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองอยากอยู่ในนั้นหรือเปล่า
“คืนนี้น้องแบมอยู่ดูแลพี่ทั้งคืนเลยนะ”
เสียงพี่ไม้ดังขึ้นใกล้มากกว่าที่ควร พร้อมแรงลมเบา ๆ จากลมหายใจเขาที่เฉียดอยู่ข้างแก้มฉัน
“พี่เหมาน้องแบมมาแล้วล่ะ เรื่องทิปไม่ต้องห่วง พี่จัดให้เต็มที่เลย”
เขาพูดพลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้มใบหน้าลงมา… หอมดมเบา ๆ ตรงช่วงแขนของฉันโดยไม่ทันให้ฉันตั้งตัว
ฉันชะงักมือแทบทำแก้วหล่น
กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำหอมของเขาลอยแตะจมูกฉัน แต่ไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด มันกลับรู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก และ…ถูกล้ำเส้น
“พี่ไม้…อย่าทำแบบนี้สิคะ แบมทำงานอยู่นะ”
ฉันพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะกำลังเดือดขึ้นมาช้า ๆ
เขาเพียงหัวเราะเบา ๆ เหมือนไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด
“โอ๋ ๆ พี่แค่แซวเล่น อย่าคิดมากน้า”
ฉันยิ้มบาง ๆ กลบเกลื่อนก่อนจะยื่นแก้วเครื่องดื่มให้เขา
“เครื่องดื่มได้แล้วค่ะพี่ไม้ รับรองว่าเข้มข้นสมใจแน่นอนค่ะ”
ฉันไม่พูดอะไรอีก พยายามลุกขึ้นเพื่อจะแยกตัวออกไปดูโต๊ะอื่นบ้าง แต่จู่ ๆ ก็มีมือหนาของใครบางคนคว้าข้อมือฉันไว้แน่น ก่อนจะออกแรงกระชากให้ฉันนั่งลงที่เดิม
แรงมากพอจะทำให้ฉันเสียหลักเล็กน้อย
“จะไปไหนล่ะ หื้ม…”
เสียงพี่ไม้ดังข้างหู พร้อมรอยยิ้มที่ไม่ได้น่ารักเลยสักนิด
“คืนนี้น้องดูแค่โต๊ะพี่โต๊ะเดียวนะครับ”
ฉันฝืนยิ้มออกไป ทั้งที่ในใจเริ่มร้อน ๆ หนาว ๆ
“อ่อ…แบมจะขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ เดี๋ยวกลับมาดูแลใหม่ ไม่หนีแน่นอนค่ะ”
เขาจ้องหน้าฉันนิ่ง ๆ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ค่อยเชื่อ
“จริงเหรอ…งั้นดื่มแก้วนี้ให้พี่ชื่นใจก่อน แล้วพี่จะปล่อยให้น้องแบมไป”
ฉันก้มมองแก้วเหล้าในมือเขาที่ถูกยื่นมาตรงหน้า
กลิ่นแอลกอฮอล์แรง ๆ ลอยเตะจมูก ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง
“เอ่อ…คือ แบมไม่ดื่มกับลูกค้านะคะ ต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
ฉันพยายามพูดอย่างสุภาพที่สุด แม้ข้างในอยากจะปัดแก้วนั้นทิ้งไป
แต่เขากลับยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกขังไว้
“แย่จัง…งั้นพี่ก็ไม่ปล่อยเราไปหรอก”
ฉันชะงัก ตัวเริ่มเกร็ง รู้สึกถึงแรงกดดันที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จากบรรยากาศรอบตัว โต๊ะข้าง ๆ เหมือนไม่มีใครมอง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉันทำอะไรไม่ได้…
สุดท้าย ฉันจึงยกแก้วเหล้าใบนั้นขึ้นแตะริมฝีปาก ก่อนจะดื่มมันลงไปจนหมดในรวดเดียว
ความขมแล่นผ่านลำคอ พร้อมกับความรู้สึกขมยิ่งกว่าน้ำในแก้วนั่น
ฉันวางแก้วลงอย่างนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เสร็จแล้วนะคะ แบมขอไปห้องน้ำแป๊บนึงนะ เดี๋ยวกลับมาแน่นอนค่ะ”
ฉันไม่รอฟังคำตอบด้วยซ้ำ รีบลุกเดินจากโต๊ะนั้นทันที
ขาทั้งสองข้างพาเดินเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ในหัวมีแต่คำว่า ออกไปจากตรงนี้เถอะ
ระหว่างที่ฉันกำลังเดินผ่านโต๊ะต่าง ๆ เพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ ความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างก็เริ่มไหลเข้ามาในร่างกาย
หัวเริ่มมึน ๆ ร้อน ๆ ทั้งที่แค่ดื่มเหล้าไปเพียงแก้วเดียวเท่านั้น
ไม่สิ…มันไม่เหมือนเมาธรรมดา
หัวใจฉันเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ร่างกายก็เหมือนจะชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่แอร์ในร้านเย็นเจี๊ยบ ความรู้สึกหนาวสลับร้อนเล่นงานฉันจนเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น…คือความคิดในหัวฉันที่เริ่มหลุดจากการควบคุม
“ฉันอยาก…ใครก็ได้…ช่วยกอดฉันที…”
ภาพความใกล้ชิด ร่างกายแนบชิด เสียงกระซิบ…ไหลเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
นี่มันไม่ใช่ฉันเลย…
ฉันกัดริมฝีปากแน่น พยายามสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไป แต่ร่างกายกลับรู้สึกไวต่อทุกสัมผัส ความหวิวในอกขยายวงกว้างเหมือนไฟลามทุ่ง
ฉันเร่งฝีเท้า จะต้องเข้าห้องน้ำให้ได้ตอนนี้ ต้องเอาน้ำล้างหน้าสักหน่อย…ต้องหายใจให้โล่ง…
แต่ก่อนที่ฉันจะได้เดินพ้นโซนบาร์ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างตัว
“แบมแบม”
เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความนิ่งและเรียบเย็น แต่ในตอนนี้กลับเหมือนเชือกเส้นเดียวที่ดึงฉันให้ยืนอยู่กับที่ได้
ฉันหันขวับไปตามเสียงนั้น และสายตาก็สบเข้ากับดวงตาคู่นั้น
ไทเกอร์…
เขาขมวดคิ้วนิด ๆ มองฉันด้วยแววตาแปลกใจและกังวล
“หน้าเธอ…ทำไมแดงขนาดนี้ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ฉันพยายามจะตอบ แต่เสียงกลับออกมาแผ่วเบา
“ฉัน…ไม่รู้สิ…มันรู้สึกแปลก ๆ เหมือน…จะเป็นลม”
หรือว่าในเหล้านั่น…จะมีอะไรบางอย่าง?