ส่วนปารวีนั้นก็กลับบ้านมาด้วยร่องรอยรักที่ถูกฝากไว้โดยเขา ชายผู้ที่เธอรอความรักจากเขามานานแสนนาน เธออยู่ในตำแหน่งเพื่อนสนิทของน้องสาวเขา ทำให้เธอสนิทสนมกับเขา แต่เขากลับไม่เคยมองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เขามองเธอเป็นเพียงน้องสาวมาตลอด ตอนนี้เธอได้ก้าวข้ามขั้นนั้นไปแล้ว แต่เธอต้องเก็บความลับนี้ไว้กับเธอตลอดชีวิต ไม่วีวันที่เธอจะบอกเรื่องนี้กับเขา เพราะเธอยังต้องการรักษาสถานะพี่น้องที่เขามีให้เธอ เธอไม่อยากให้เขาเกลียดเธอไปตลอดชีวิต
แม้ว่าจะต้องเสียใจอยู่ลึกๆ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งเธอก็ได้เป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างกายของเขา เธอใฝ่ฝันมาตลอดว่าจะเป็นผู้หญิงที่เขารัก แต่ตอนนี้เธอไม่ได้ฝันถึงมันแล้ว แค่ได้มีค่ำคืนพิเศษกับเขา แค่นี้ก็คือความทรงจำที่งดงามตลอดชีวิตของเธอแล้ว
และเรื่องนี้ปารวีก็คงไม่กล้าบอกใคร แม้แต่เพื่อนสนิทของเธอ นั่นก็คือเพียงอร น้องสาวของพงศกร เพราะเธอกลัวว่าหากเธอบอกไป เพียงอรอาจจะบังคับให้พี่ชายรับผิดชอบเธอ ซึ่งเธอไม่ต้องการความรับผิดชอบที่ปราศจากความรัก หากว่าเธอต้องแต่งงานกับใครสักคน ก็ขอให้เขาคนนั้นแต่งงานกับเธอเพราะความรัก ไม่ใช่แต่งเพราะโดนบังคับ เขาคือความทรงจำที่แสนดี ที่เธอไม่อาจได้ครอบครอง ซึ่งเธอจะเก็บความทรงจำนี้ไว้ชั่วชีวิตของเธอ
และแล้วก็เหมือนดังว่าโชคชะตาเล่นตลก เมื่อเพียงอรนัดเธอทานข้าวที่บ้าน ซึ่งวันอื่นเธอคงจะไม่รู้สึกอะไร แต่นี่คือวันแรกหลังจากที่เธอเพิ่งจะผ่านคืนหวานล้ำกับพงศกรมา เธอไม่อาจปฏิเสธได้ เธอจึงได้แต่หวังว่าพงศกรจะติดธุระ แล้วไม่ได้มารับประทานอาหารกับครอบครัว เพราะเธอไม่รู้เลยว่าตนเองจะเล่นละครได้เนียนหรือเปล่านั่นเอง
แต่ว่าโชคชะตาก็ไม่เป็นใจกับเธอเลยสักนิด เพราะวันนี้พงศกรไม่ออกไปไหน เขาอยู่รับประทานอาหารกับที่บ้าน ซึ่งคนที่มีชะนักติดหลังอย่างปารวีถึงกับทำตัวไม่ถูก กลัว่าตนเองจะหลุดอะไรออกไป ทำให้พงศกรจับได้นั่นเอง
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ สวัสดีค่ะพี่กร” ปารวีทำทุกอย่างเหมือนปกติ นั่นก็คือทักทายทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น พร้อมกับประนมมือไหว้สวยๆ นั่นเอง
“มาแล้วเหรอหนูมิ้นท์ แม่คิดถึงมากเลย ไม่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเราหลายอาทิตย์แล้ว” คุณพิมอักษรเอ่ยทักทายเพื่อนสนิทของบุตรสาวที่ท่านรักเหมือนลูกก็ไม่ปาน
“แหมทีลูกสาวไม่อยู่ไม่เห็นพูดแบบนี้เลยนะคะคุณแม่” เพียงอรเอ่ยค่อนขอดมารดา เพราะกลัวว่ามารดาจะรักเพื่อนสนิทของตนเองมากกว่าตนนั่นเอง
“แหมเราก็พูดไป แม่จะไปรักใครมากกว่าลูกสาวแม่ล่ะ” คุณพิมอักษรเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเอาใจบุตรสาว ทำให้ปารวีมองทั้งสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้ม เธอไมได้คิดอะไรเลยสักนิด มีแค่บางครั้งเท่านั้นที่เธอแอบอิจฉาในความอบอุ่นของครอบครัวนี้ ซึ่งเธอไม่เคยได้รับมัน
“มัวแต่เย้ากันไปกันมาอยู่นั่นแหล่ะครับ มากันแล้วก็ไปกินข้าวกันเถอะ ผมหิวแล้ว” พงศกรที่อารมณ์ไม่ค่อยดีสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อเช้าเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์มากนัก
“ไปกินรังแตนที่ไหนมาเหรอเจ้ากร ดูท่าทางมูดดี้น่าดู” คุณอารยะบิดาของพงศกรเอ่ยเย้าบุตรชายอย่างรู้นิสัยบุตรชายเป็นอย่างดี อาการแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องมาจากนอกบ้านแน่นอน
“ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ กินข้าวกันเถอะ” พงศกรเอ่ยออกมาโดยไม่สนใจเพื่อนน้องสาวที่ลอบมองตนเองอยู่เป็นระยะเลยสักนิด
“กินก็กิน มาเถอะทุกคน เดี๋ยวคนหัวร้อนเขาจะวีนขึ้นมาอีก” คุณอารยะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม