ธีริญถลึงตามองเขาวาววับ แม้ว่าสีหน้าเธอนั้นเหมือนคนที่ใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ เห็นแล้วภิฌานยิ่งมีอารมณ์อยากจะแกล้งอย่างนึกมันเขี้ยว เธอคงไม่รู้หรอกว่ามีอิทธิพลต่อใจเขามากแค่ไหน แค่มองริมฝีปากที่เม้มแน่นเพราะฉุนเฉียวเขา แค่นั้นก็สามารถกระตุ้นความต้องการของเขาให้ลุกโชนร้อนแรงได้ง่ายๆ
แต่เพราะเธอยังป่วยอยู่ และเขาไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกคนป่วย ภิฌานจึงต้องหักห้ามใจอย่างหนักหน่วง ไม่ให้เผลอบดขยี้ริมฝีปากหอมหวานคู่นี้จนเธอขาดใจตายไปเสียก่อน เขาจำต้องหันเหความสนใจด้วยการดันศีรษะเธอแนบซบกับอกเขา ลูบไล้เรือนผมแผ่วเบาขณะหว่านล้อมเธออย่างใจเย็นว่า
“ทำยังไงคุณถึงจะยอมกินยา”
ธีริญเม้มปากแน่น ใช่ว่าเธออยากจะเอาแต่ใจ แต่เธอท้องแล้ว ไม่สามารถกินยาแก้ไข้ได้จริงๆ ที่แย่ไปกว่านั้นเธอยังบอกเขาไม่ได้ด้วย เลยได้แต่ทำตัวเหมือนคนดื้อแพ่งพยศใส่สามี
“คุณทำแบบนี้มีแต่ทรมานตัวเองเปล่าๆ คุณไม่คิดถึงคนที่เป็นห่วงคุณบ้างเหรอ”
หญิงสาวผละออกห่างเงยหน้ามองตาเขาอย่างค้นหา อยากถามว่าคนที่เป็นห่วงเธอมีเขารวมอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า ขอแค่เขาพูดมาคำเดียวว่า ‘ใช่’ แค่เขาดูแลเธอ ทำดีกับเธอสักนิด เธอสัญญาเลยว่าจะไม่ดื้อไม่ทะเลาะกับเขาอีก
“คุณโตแล้ว รู้ใช่มั้ยว่าถ้าป่วยก็ต้องกินยา”
ภิฌานกุมมือเธอ มืออีกข้างแนบแก้มเกลี่ยไล้ทำให้คนถูกสัมผัสรู้สึกคลายใจ ธีริญยกมือทาบมือเขา ถูไถใบหน้าตอบรับปลายนิ้วเขา ความขุ่นเคืองมอดดับเหลือเพียงความอบอุ่นซ่านใจ แววตาออดอ้อนมองเขาอย่างอ่อนหวาน พลางเอ่ยต่อรองว่า
“ฉันเปล่าดื้อสักหน่อย แต่คุณเพิ่งจะป้อนข้าวฉันไปชามเบ้อเร่อ ฉันอิ่มจนแน่นท้องไปหมด ขืนให้กินน้ำกินยาตอนนี้ ฉันคงแหวะใส่คุณแน่ๆ”
“งั้นคุณจะนอนซมอยู่อย่างนี้น่ะเหรอ” เขาเลิกคิ้วถาม แววตาเฉียบคมชี้ชัดว่าไม่ยอมให้เธอดื้อดึง
ธีริญนึกกลัวใจเขาขึ้นมา ภิฌานไม่ใช่คนพูดมาก เน้นทำมากกว่าพูด ดูอย่างเมื่อครู่ที่เขาบังคับป้อนข้าวเธอสิ เธอไม่อยากเสี่ยงจะยั่วโมโหเขา แค่นี้เขาก็คงอดทนกับเธอมากพออยู่แล้ว หาทางประนีประนอมน่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับเราทั้งคู่
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ปวดหัวกับมีไข้ต่ำๆ ลองเช็ดตัวดูก่อนก็แล้วกัน ถ้าไม่หาย พรุ่งนี้ฉันจะไปโรงพยาบาลแต่เช้าเลย”
ภิฌานอยากค้านว่าไม่เห็นด้วย ไม่อยากให้เธอผลัดวันประกันพรุ่ง เกิดเป็นอะไรร้ายแรงขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่พอเห็นแววตาอ้อนๆ มีน้ำคลอขังดูน่าสงสาร คำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากก็ไม่อาจเอ่ยออกมาบังคับจิตใจเธอได้ ได้แต่ทอดถอนใจอย่างอ่อนอก ก่อนจะหันไปคว้าผ้าขนหนูมาชุบน้ำบิดหมาดๆ แล้วเริ่มเช็ดตัวให้เธอเงียบๆ
“ขอบคุณค่ะ” ธิริญยิ้มแฉ่ง ยื่นแขนยื่นหน้าให้เขาเช็ดอย่างถนัดถนี่ ไม่ได้รู้เลยว่าเขาต้องข่มใจกดแรงปรารถนาที่ลุกพรึ่บขึ้นมาอย่างยากเย็น เมื่อทั้งมือและสายตาสัมผัสกับผิวขาวผ่องเนียนนุ่มที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้าที่กระตุ้นอารมณ์ให้เตลิด
ภิฌานลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงในลำคอที่แห้งผาก ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่แตะตัวเมียนิดๆ หน่อยๆ เขาก็ของขึ้นตื่นตัวเสียขนาดนี้ ยิ่งสัมผัสยิ่งลูบไล้ใจก็ร่ำๆ อยากจะจับเธอกดบรรเลงเพลงรักเสียให้จมเตียง แต่ก็พยายามอดทนท่องเอาไว้ว่า
เมียป่วย!
เสร็จปุ๊บเขารีบสวมชุดนอนติดกระดุมเสื้อให้เธออย่างมิดชิด ก่อนจะลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ตั้งใจจะอยู่ดูแลเธอทั้งวัน แต่เสียงโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้นอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา ภิฌานรับสายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เหลือบมองคนป่วยอย่างลังเลอยู่หลายครั้ง
“ถ้าคุณมีธุระก็ไปเถอะค่ะ ฉันอยู่คนเดียวได้” ธีริญชิงออกปากเสียเอง แค่เห็นหน้าเขาเธอก็รู้แล้ว
“แน่ใจเหรอ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าตอบแกนๆ แล้วหันหลังดึงผ้าห่มมาคลุมตัว เหลือเพียงดวงตาและจมูกที่โผล่พ้นผ้า
“ผมจะรีบกลับ พรุ่งนี้ยังต้องพาคุณไปหาหมอด้วย” ภิฌานพูดทิ้งท้ายคล้ายให้คำสัญญา โน้มตัวจุมพิตข้างขมับภรรยา แล้วตัดใจเดินออกไป
เขาไม่อยากทิ้งธิริญไว้คนเดียวเลย แต่คู่ค้ารายใหญ่ขอเลื่อนนัดเซ็นสัญญาเป็นวันนี้แทนกำหนดเดิม เพราะเดินทางมาที่เมืองไทยพอดี หลังจากนี้ยังต้องเดินทางไปอีกหลายประเทศ ซึ่งทำให้การนัดหมายเดิมต้องพลอยเลื่อนตามไปด้วย ซ้ำโพรเจกต์นี้ก็มีความสำคัญกับเขามากเสียด้วย เขาจึงต้องออกไป ได้แต่หวังว่าเธอจะเข้าใจ
หลังได้ยินเสียงปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา น้ำตาแห่งความผิดหวังก็ร่วงแหมะ ธีริญยิ้มเยาะสมเพชตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรหวัง มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังจะแอบคิด นอนกอดความหวังเล็กๆ เอาไว้ไม่ยอมปล่อยเหมือนคนบ้า
สำหรับภิฌาน...เธอจะมีความหมายมากไปกว่างานของเขาได้ยังไง?
โง่จริงๆ !
เธอห่อตัวใต้ผ้าห่มกอดตัวเองแน่น หวังชดเชยความอบอุ่นที่ขาดหาย แม้จะรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดจะทดแทนความปวดร้าวนี้ได้เลยก็ตาม