“แล้วพี่ฌานล่ะคะ” พูดแล้วพันธิตราก็หน้าเสีย เมื่อชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม คล้ายกำลังตำหนิหล่อนที่พูดจาสนิทสนมกับเขาที่เป็นเจ้านาย
“ผมยังมีธุระต่อ”
“ให้แพทไปด้วย...”
“ผมไปก่อนนะครับ” ภิฌานหันมาค้อมศีรษะลามารดา แล้วเดินดุ่มๆ ออกไปเลยโดยไม่ฟัง
เขาไม่ชอบให้ใครมาดูถูกภรรยาเขา ต่อให้เป็นแม่เขาเองก็เถอะ จะเต็มใจหรือไม่เขาก็แต่งงานกับธีริญแล้ว ควรจะให้เกียรติเธอตามความเหมาะสม นั่นหมายรวมถึงครอบครัวของเขาก็ควรปฏิบัติต่อเธออย่างให้เกียรติเช่นเดียวกัน
ภิฌานขับรถมุ่งตรงไปตามเส้นทางเพนต์เฮาส์ด้วยความเร็ว หวังใจจะได้เจอหน้าพูดคุยกับภรรยาไวๆ เขารู้สึกไม่ดีที่ผิดสัญญากับเธอ ซ้ำยังปล่อยให้เธอมาโรงพยาบาลคนเดียว อย่างน้อยธีริญก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียเขาอย่างเต็มตัว เธอปฏิบัติตัวในฐานะภรรยาอย่างเหมาะสม วางตัวดีไม่เคยก้าวก่ายทำให้เขาลำบากใจ เขาเองก็จะไม่ทำให้เธอไม่สบายใจเช่นกัน
เขาอยากอธิบายให้เธอรู้ว่าไม่ได้ลืมหรือพูดส่งๆ แบบขอไปที วันนั้นหลังเซ็นสัญญาเสร็จเขาเตรียมจะกลับไปอยู่คอยดูแลธีริญ แต่จู่ๆ มารดาก็โทร. เข้ามาบอกว่ารู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก น้ำเสียงท่านดูร้อนรนเสียขวัญจนเขาตกใจ จึงรีบขับรถกลับบ้านไปดูอาการท่านก่อน
เขาพามารดามาโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็กให้แน่ใจ แพทย์เจ้าของไข้บอกว่าเป็นเพียงโรคประจำตัวที่พบได้บ่อยๆ ในผู้สูงวัย ถ้าควบคุมดูแลสุขภาพและอาหารการกินให้ดีก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร ทำให้เขาพลอยเบาใจ แต่ท่านยังคงวิตกกังวลไม่เลิก ขอร้องให้เขาอยู่เฝ้าไข้ที่นี่สักสองสามวัน ซ้ำยังลากเอาพันธิตราที่ไม่เกี่ยวข้องมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย
เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่อยากขัด ท่านดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่ออยู่กับหล่อน อาจเพราะพูดจาถูกคอและพันธิตราก็เข้าหาผู้ใหญ่เก่ง ช่างออดอ้อนเอาอกเอาใจให้แม่เขานึกเอ็นดู หล่อนอาสาอยู่เป็นเพื่อนท่านจนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาล เขาไม่คิดว่าจะเจอธีริญที่นี่ด้วยความบังเอิญ แถมสถานการณ์ก็ชวนกระอักกระอ่วนให้เข้าใจผิดพิกล
เขาไม่รู้ว่าธีริญคิดอย่างไร?
แต่คิดว่าถ้าเธอได้ยินจากปากเขาเองน่าจะดีกว่า มีอะไรไม่เข้าใจจะได้เคลียร์กันทั้งสองฝ่าย
ภิฌานจอดรถแวะซื้อขนมเค้กและเบเกอรีเจ้าโปรดที่เธอชอบ ถ้าธีริญได้กินของอร่อยถูกใจคงอารมณ์ดีขึ้น เขาแอบสังเกตุว่าช่วงนี้เธอดูซูบไป แววตาไม่สดใสเหมือนเคย เหมือนมีเรื่องให้ขบคิดหนักใจอยู่ไม่น้อย เขารู้ดีว่าเรื่องอะไรแม้เธอไม่ปริปาก เขาอยากชดเชยความผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วงนี้ละเลยเธอ จึงต่อสายไปยังทนายประจำบริษัทแล้วสั่งการว่า
“ติดต่อกับญาติและผู้เสียหายในคดีของคุณพ่อธีริญ แจ้งพวกเขาว่าผมจะชดใช้ค่าเสียหายให้ครบทุกบาททุกสตางค์ตามที่เรียกร้องมา”
ภิฌานวางสายหลังทนายมือดีตอบรับ มุมปากผุดยิ้มบางๆ บนใบหน้าคมขรึม หวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มของเธอในเร็ววัน
ธีริญกลับถึงเพนต์เฮาส์ก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอน หยิบกระเป๋าเดินทางหอบเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวใส่ลงอย่างเร่งรีบ ผิดกับภายในหัวใจที่สงบนิ่งจนเข้าขั้นเย็นชา เธอมองของฝากทุกชิ้นทุกสิ่งที่ภิฌานซื้อให้ แต่ไม่ได้เก็บไปด้วย มองไปรอบๆ บ้าน ทุกมุมห้องล้วนมีภาพที่สองเราอยู่ด้วยกัน
จดจำเป็นครั้งสุดท้าย...
ไม่มีน้ำตาสักหยด คงเพราะมันเหือดแห้งไปหมดแล้วละมั้ง คนเราพอเจ็บมากๆ ความรู้สึกก็จะด้านชา ชาแล้วก็จะชิน และจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป อีกหน่อยก็จะลืมคนที่ทำให้ใจเราเจ็บไปเอง
หวังว่าเธอก็คงจะเป็นเช่นนั้น
ธีริญถอดแหวนแต่งงานที่ขอร้องแกมบังคับให้เขาซื้อออกจากนิ้ว วันที่เขาสวมให้ช่างมีความสุขอุ่นซ่านไปทั้งใจ แต่วันนี้ที่ต้องถอดออกด้วยตัวเอง เธอรู้สึกว่ามันช่างหนักอึ้งจนมือไม้สั่น หญิงสาวตัดใจวางแหวนไว้บนกระดาษโน้ต แล้วลากกระเป่าออกจากห้องอย่างเด็ดเดี่ยว ตั้งแต่ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นรับโทรศัทพ์ของสามี เธอก็น่าจะรู้แล้วว่าทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้...
เธอกับเขาไม่มีอนาคตร่วมกัน!