น้ำเสียงดูหมิ่นทำให้คนฟังยิ่งโกรธ ริมฝีปากก็ยิ่งเหยียดยิ้มกว้างขึ้น
“เรื่องของฉัน คุณเป็นแค่สามีเก่าจะมาจุ้นจ้านอะไรด้วยล่ะ”
ถ้อยคำประชดประชันของเธอเหมือนดาบที่เสียบแทงทะลุหัวใจ ปวดหนึบจนเขาทนไม่ได้ ภิฌานขมวดคิ้วแน่น ตะปบบีบหัวไหล่เธอเต็มแรงอย่างลืมตัว
“ต่อไปอยู่ให้ห่างวิศวกรคนนั้นซะ” ...รวมถึงผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ด้วย!
“เขาเป็นเพื่อนของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่ง” ธีริญเชิดหน้าสู้ แม้จะเจ็บหัวไหล่ขึ้นมาเป็นริ้วๆ จนเผลอนิ่วหน้า
“คุณรู้จักเขามานานแค่ไหนกัน ถึงเรียกว่าเพื่อน ดูไม่ออกรึไงว่าเขาคิดอะไรกับคุณอยู่”
“แล้วมันสำคัญยังไง ขนาดคนที่นอนด้วยกันมาสามปี ฉันยังไม่รู้จักเขาเลยแม้แต่นิดเดียว”
ภิฌานสีหน้าหม่นลงทันตา แววตาที่มองเธอดูลึกลับซับซ้อนคล้ายเจ้าตัวยากจะอธิบาย มือหนาจับมือบางมาวางทาบบนหน้าอกเขา กดตรึงแนบชิดคล้ายต้องการให้เธอสัมผัสถึงหัวใจที่กำลังเต้นแรง ทว่าหนักแน่นจริงใจ
“ธีริญ...ผมไม่เคยคิดที่จะปิดบังคุณ” แต่การแต่งงานของเราไม่เหมือนกับคู่รักทั่วๆ ไป เพราะข้อตกลงทำให้พวกเราไม่เคยก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของกันและกัน จู่ๆ จะให้เขามาพูดคุยหรือปรับทุกข์ถึงปัญหาที่เจอในแต่ละวันให้เธอฟัง มันก็ออกจะแปลกๆ ยังไงอยู่ เขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรพูด เดี๋ยวเธอจะพลอยกังวลไปกับเขาด้วยเสียเปล่าๆ
“เพราะคุณคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องพูด อีกหน่อยเราก็หย่ากันแล้วไงละ”
ภิฌานหน้าขรึมลงอีก อย่างนี้แปลว่าว่าอะไรล่ะ?
นอกจาก...เขายอมรับ
“คุณไม่ต้องแกล้งทำตัวเป็นคนดีที่ยังห่วงใยภรรยาเก่าอย่างฉันหรอก ฉันไม่ต้องการ เก็บมันเอาไว้ให้ว่าที่ภรรยาคนใหม่ของคุณดีกว่า”
ธีริญพยายามสะบัดมือออก แม้จะถูกเขากดแน่นไม่ยอมปล่อย แวบหนึ่งเธอเผยความเกลียดชังในแววตาอย่างชัดเจน ทำให้คนมองใจสะท้าน ความเจ็บปวดลามลึกเสียดแทงจนหัวใจปริร้าว เขาแทบจะเค้นแรงทั้งหมดเอ่ยกับเธอว่า
“ถึงผมจะไม่เคยพูดเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวของผมให้คุณรู้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมกล้าพูดและยืนยันกับคุณตรงนี้ได้เลยก็คือ ผมไม่เคยนอกใจคุณ ไม่เคยนอนกับผู้หญิงคนไหนตลอดเวลาที่เราแต่งงานกัน ต่อให้ตอนนี้เราจะหย่ากันแล้วผมก็ไม่เคยคิดที่จะมีคนอื่น”
ธีริญตะลึงงัน ความสับสนมึนงงที่ปะปนมาพร้อมกับความยินดีประดังเข้าใส่จนเธอตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรกับคำพูดที่คล้ายจะเป็นการสารภาพ ต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะสงบใจที่ยุ่งเหยิง หญิงสาวกะพริบตาขับไล่ความสับสน เอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าที่เรียบสนิทว่า
“คุณจะเคยนอกใจฉันรึเปล่าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ฉันไม่อยากรู้” แล้วปรายตาที่เย็นชามองมือเขาที่กุมมือเธอแนบแน่น เอ่ยเสียงเยียบเย็นไม่ต่างจากสีหน้า “ปล่อย!”
ไม่พูดเปล่าเธอพยายามบิดข้อมือและดึงออกแรงๆ จนเป็นรอยแดงปื้น ภิฌานไม่ได้ขัดขวางแต่ไม่ยอมปล่อย ดวงตามืดมนเวิ้งว้างคู่นั้นมองเธอสงบนิ่งเดาอารมณ์เขาไม่ออก ก่อนที่ท่อนแขนกำยำจะพุ่งมาดึงตัวเธอรวบเข้ามากอดช้อนขึ้นนั่งบนตัก เคลื่อนมือกดกระชับท้ายทอยประกบริมฝีปากแนบสนิทโดยไร้คำพูด บดเบียดคลุกเคล้าในคราวแรก สอดแทรกแลกลิ้นรัดรึง ดึงดูดขบเม้มบดจูบอย่างลึกซึ้งซาบซ่านหวามใจ
“ปละ ปล่อย...!”
ใบหน้าธีริญเห่อร้อน เนื้อตัวร้อนผ่าวด้วยกระแสความวาบหวามที่เชี่ยวกราก สมองน้อยๆ ของเธอขาวโพลน กระนั้นก็ยังกัดฟันยกมือผลักไสเขาออกห่าง แม้จะไร้เรี่ยวแรงเต็มที ซ้ำยังถูกคนรู้ทันรวบข้อมือเธอเอาไว้แนบอกแกร่ง บดจูบคลุกเคล้าเร่าร้อนจนเธอร่ำๆ แทบจะขาดใจตายเพราะถูกความรัญจวนรุมเร้าเคล้าคลึงเธอให้ร้อนวูบไปทั้งตัว โดยเฉพาะท้องน้อยที่เสียววูบต่ำลงไปถึงกึ่งกลางร่างสาวและเต้นตุบตอด เมื่อภิฌานแทรกท่อนขาเข้ามาเสียดสี
“คะ คุณ..ภิ...ฌาน”
ธีริญหอบหายใจฮัก เอี้ยวคอหลบริมฝีปากร้อนจัดที่ซุกไซ้จูบใบหูและซอกคอระหง ขบงับนวลเนื้อนุ่มนิ่มดูดดึงละเลียดชิมสลับกับกดจูบหนักๆ จนกายสาวซ่านสยิวขึ้นสมองแล้วดิ่งลงจรดปลายเท้า ปลายนิ้วหงิกงอจิกแผ่นรองพื้นรถเป็นรอยบุ๋ม สองมือเล็กที่ถูกรวบกำขยุ้มชุดสูทจนยับย่นเมื่อถูกปลดปล่อย
หวาน!
เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มคิดออกอย่างเดียวในเวลานี้