ธีริญกัดฟันกรอด มือกำโทรศัพท์แน่น กดตัดสายทิ้งโดยไม่คิดจะตอบคำถาม เธอสิต้องเป็นฝ่ายถามภิฌานมากกว่าว่า
แค่เมมชื่อเธอเอาไว้มันยากมากรึไง?
เขาถึงไม่ทำ!
รู้...อยู่เต็มอกว่าเขาทนอยู่กับเธอ เธอถึงได้พยายามทำความเข้าใจ เว้นระยะห่างให้ตามที่เขาต้องการ อะไรที่เขาไม่ชอบหรือมองว่างี่เง่า เธอเลี่ยงที่จะทำให้เขาไม่สบายใจ
แต่เขาล่ะ...
เขาต้องทำกับเธอถึงขนาดนี้เชียว ต้องรังเกียจเธอมากแค่ไหน แค่ชื่อเธอเขายังไม่อยากจะเห็นให้ระคายลูกตาเลย
หญิงสาวหัวเราะขื่น ในปากรับรู้ได้แต่เพียงรสฝาดเฝื่อนขมจนลิ้นชา หมดความอยากอาหารในบัดดล แม้ท้องจะร้องประท้วงโครกครากก็ตาม ถึงจะฝืนเธอก็กินไม่ลงอยู่ดี ธีริญหมุนตัวกลับทางที่เดินไปยังแผนกซูเปอร์มาร์เกตตรงไปที่ลานจอดรถแทน เธอเร่งสุดฝีเท้าเพราะไม่อยากให้ใครเห็นสีหน้าย่ำแย่ดูแทบไม่ได้ ไม่เพียงปวดใจ ตอนนี้เธอยังรู้สึกว่าเลือดลมตีตื้อขึ้นมาจนคลื่นไส้ใกล้จะอาเจียน
กำลังจะก้าวเท้าเดินหลุดออกจากตัวห้าง สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นเจ้าของร่างโดดเด่นคุ้นตาที่ร่วมเตียงกันนั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่น ภิฌานในชุดสูทภูมิฐานเผยยิ้มบางๆ ให้สาวสวยปราดเปรียวคนหนึ่ง แม้จะไม่ถึงกับอ่อนโยน แต่ให้ความรู้สึกสบายตาจนน่าขัดใจ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้หญิงที่ยิ้มสดใสคนนี้ก็คือคนที่รับโทรศัพท์ของเขาเมื่อครู่
อ้อ...ที่เขาไม่สะดวกรับสายเธอ เพราะอยู่กับหล่อนสินะ
ความปวดร้าวในใจยิ่งขยายวงกว้าง เมื่อเขาหันมาทางเธอ เราสองคนสบตากันโดยไม่หลบอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายจะเห็นเขาขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะละความสนใจไปยังคนข้างๆ ที่หยิบแก้วกาแฟให้อย่างเอาใจใส่
เขาเมินเธอ?
ธีริญกำขากางเกงเทเลอร์ที่สวมใส่จนยับยู่ยี่ เงยหน้ากะพริบไล่น้ำตาถี่ๆ แม้กระบอกตาจะร้อนผ่าวจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด บอกไม่ถูกว่าตอนนี้เธอเจ็บปวดมากเพียงใด เธอรู้แต่ว่าเธอทนอยู่กับผู้ชายเย็นชาคนนี้มาได้อย่างไรตั้งสามปี ตอนนี้เธอต้องการไปให้พ้นจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้
หญิงสาวก้าวพรวดพุ่งตัวตรงไปลานจอดรถราวกับจรวด พอก้าวขึ้นรถได้ก็พุบหน้าลงกับพวงมาลัยอย่างหมดแรง อยากจะบอกตัวเองให้เข้มแข้ง แต่สิ่งที่เจอมันหนักหนาเกินกว่าที่ใจจะรับไหว น้ำตาที่กักกลั้นพังทลายลงมาทันทีโดยไร้เสียงสะอื้นฟูมฟาย เธอแค่ต้องการปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจออกไปบ้าง ก่อนที่ตัวเองจะบ้าตาย
รอจนอารมณ์ที่ปั่นป่วนเหมือนพายุค่อยๆ สงบลง ธีริญก็ปาดน้ำตาออกอย่างเข้มแข็งไม่ให้เหลือสักหยด สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ แล้วขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางแวะซื้อของกินเล็กน้อย ถึงเธอจะไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด แต่อย่างไรก็ต้องกินเพื่อลูก เธอไม่ห่วงตัวเองได้ แต่ไม่ห่วงลูกไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงนะคะ แม่จะไม่อ่อนแอ แม่สัญญา” เธอลูบท้องพลางระบายความในใจกับลูกน้อย ไม่รู้ว่าอุปทานไปเองรึเปล่า แต่พูดแล้วทำให้รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย คล้ายเมฆหมอกที่มืดครึ้มเบาบางลงไปมาก ราวกับลูกช่วยปัดเป่าและปลอบโยนความเจ็บปวดในใจของเธอให้ผ่อนคลาย
เป็นเพราะพลังรักใช่ไหม?
บางทีถ้าเราหันมาสนใจสิ่งที่ควรสนใจมากกว่าวิ่งไขว่คว้าสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง เราอาจจะมีความสุขมากขึ้นก็ได้ เรื่องของเธอกับภิฌานก็เช่นกัน เราแต่งงานกันไม่ใช่เพราะความรัก แต่เหมือนเธอเห็นแก่ตัวบีบบังคับเขากลายๆ เมื่อก่อนเธอคิดเสมอว่าถึงเขาไม่รักกันตอนนี้ก็ไม่เป็นไร เอาไว้พวกเราอยู่ด้วยกันนานไป เรียนรู้กันและกันให้มากขึ้น ถ้าเธอพยายามทำดีเข้าไว้ เขาคงจะรับรู้เห็นถึงความจริงใจ
แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเป็นแค่ความ ‘ดันทุรัง’ ความพยายามใช้ไม่ได้กับทุกเรื่อง โดยเฉพาะกับเรื่องของ ‘หัวใจ’
คนไม่รัก ทำอย่างไรก็ไม่รัก!
สามปีของชีวิตคู่ทำให้เธอเข้าใจบางเรื่องอย่างถ่องแท้ เธอพยายามอยู่ฝ่ายเดียว ผลลัพธ์จึงไม่เป็นดังที่วาดฝัน เธอทำให้เขารักไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงคนอื่นจะทำไม่ได้ ภิฌานไม่ผิดที่ไม่รักเธอ ไม่มีใครถูกหรือผิดในเรื่องของความรัก มีแค่รักหรือไม่รักเท่านั้น เธอเองก็แค่เลือกรักผิดคน ดันไปรักคนที่มีใจไม่ตรงกัน ก็เลยต้องมานั่งผิดหวังเสียใจอย่างนี้ไงละ
ไหนๆ การแต่งงานครั้งนี้ก็ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก็ให้มันจบลงแค่นี้เถอะ สุดท้ายก็ต้องหย่ากัน จะหย่าตอนนี้หรือครบกำหนดสี่ปีก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แถมมันนานเกินไป เธอเหนื่อยมากจนรอไม่ไหวแล้ว
หลังจัดการเรื่องหนี้สินจบเมื่อไร เธอจะคืนอิสรภาพที่เขาโหยหาให้ตามที่ต้องการ ถึงตอนนั้นเขาอยากจะรักใครก็ตามใจเลย เธอจะร่วมยินดีเขาด้วยใจจริง