พันธิตราชักสีหน้า คิดไม่ถึงว่าเมียภิฌานจะเขี้ยวลากดิน โลภมากไม่รู้จักเจียมตัว
“ฉันว่ามันมากไปกับค่าตัวเธอด้วยซ้ำ ที่ยอมจ่ายให้ขนาดนี้ก็ถือว่าใจดีมากแล้ว เพราะฉันสงสารอยากช่วยเธอปลดหนี้หรอกนะ”
“ห้าล้านขาดตัว ไม่จ่ายก็ไม่หย่า!” ธีริญยื่นคำขาด
ก็จริงอย่างที่หล่อนพูดว่าเธอต้องการเงินใช้หนี้ เงินแค่นี้อาจจะน้อย แต่มันมากสำหรับคนที่จนตรอกอย่างเธอ ไหนๆ ต้องหย่ากันอยู่แล้ว เธอก็น่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง ศักดิ์ศรีมีค่า แต่ไม่มีความหมายถ้าต้องแลกกับความลำบากยากแค้นของคนที่เธอรัก
เห็นพันธิตรากัดฟันกรอด ธีริญก็ยิ่งยั่วด้วยการแบมือกระดิกนิ้วอย่างเร่งรัด ไม่ยอมให้หล่อนต่อรองหรือบิดพลิ้ว แถมยังเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า
จะจ่ายหรือไม่จ่าย?
พันธิตรามองยัยคนหัวหมออย่างเข่นเขี้ยว หยิบปากกาที่พกติดตัวมาด้วยขีดฆ่าแล้วเขียนจำนวนตัวเลขใหม่ ก่อนจะเซ็นชื่อกำกับ ยื่นส่งให้ธีริญอีกครั้งอย่างกระฟัดกระเฟียด
“เอาไป แล้วก็ทำตามที่สัญญาด้วย”
“ขอบคุณ” ธีริญคีบนิ้วรับมา
“หน้าด้าน!”
ถูกตะคอกด่า แต่คนฟังยิ้มรับไม่สะทกสะท้าน แถมยักไหล่กลับ
“ก็ไม่รู้ว่าใครด้านกว่ากันนะคะ ระหว่างฉันที่ขายสามี กับคุณที่ใช้เงินซื้อสามีคนอื่น”
พันธิตราโกรธจนควันออกหู แต่ก็เถียงไม่ออก ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟกต์มีแต่ผู้ชายวิ่งเข้าหา แต่กลับกลายเป็นหล่อนเองที่วิ่งเข้าหาสามีคนอื่น ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตัวเขา พอถูกจี้ใจดำเข้าอย่างนี้ก็ยอมรับไม่ได้ อับอายมากเป็นธรรมดา
คุณหนูสาวสะบัดหน้าเดินกระแทกเท้าจากไป แต่ในความเจ็บใจก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่บ้างที่หล่อนกำจัดศัตรูหัวใจพ้นทางไปได้ พันธิตรามองแหวนเพชรในมือ ถอดออกแล้วนำกลับใส่ในกล่องกำมะหยี่ดังเดิม เมื่อครู่พนักงานต้อนรับนำมันมาส่งให้หล่อน เป็นของที่ภิฌานสั่งทำเมื่อตอนที่เดินทางไปติดต่อธุรกิจต่างประเทศ แค่ดูก็รู้ว่าตั้งใจนำไปมอบให้ใคร
หล่อนจึงฉวยโอกาสนี้นำมาสวม แล้วอวดให้เจ้าของที่แท้จริงได้เห็น ได้ผลดีเกินคาด พอธีริญเห็นปุ๊บก็หน้าซีดเผือด คิดไปเองเป็นตุเป็นตะโดยที่หล่อนไม่ต้องพูดอะไรเลยสักคำ
พันธิตรายักไหล่เดินยิ้มกริ่มกลับไปยังห้องรับรองอย่างอารมณ์ดี เมื่อแผนการทุกอย่างเป็นไปดังที่หวัง โทษหล่อนไม่ได้นะ ธีริญเข้าใจผิดไปเอง ต่อให้ความแตกภิฌานก็ไม่สามารถกล่าวหาหล่อนได้เต็มปาก
เพราะ...เมียเขานั่นแหละที่โง่เอง!
ธีริญมองเช็คในมือพลางถอนลมหายใจหน่วงๆ ทั้งที่เป็นเพียงแค่กระดาษที่ถูกลมพัดก็ปลิวหาย แต่กลับหนักอึ้งคล้ายเธอกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ ทำให้มือเธอทั้งสั่นและชา ลุกลามขึ้นไปตามแขนแทรกซึมเข้าสู่หัวใจราวกับมีหินก้อนใหญ่กดทับจนหายใจไม่ออก
เธอทำถูกแล้วใช่ไหม?
เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะใจคนแสนสับสนหม่นเศร้า ยิ้มไม่ออกดีใจไม่ได้เพราะความละอายพุ่งเข้าโจมตีอย่างจัง ถึงจะบอกว่าไม่แคร์ แต่เธอไม่ได้อยากทำแบบนี้ ไม่ได้ต้องการแลกความรักกับเงิน ทว่ามันไม่มีหนทางอื่นให้เลือกแล้วจริงๆ
ธีริญหลับตาสลัดความว้าวุ่นออกไปให้หมด ในเมื่อเลือกแล้วก็ควรมุ่งตรงมองไปข้างหน้าอย่างเดียว ลืมตาอีกทีผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอก็มีสีหน้าแววตาที่เด็ดเดี่ยวอย่างน่าพอใจ เธอสำรวจความมั่นใจของตัวเองอีกนิดจึงเดินออกจากห้องน้ำ
ทันทีที่เปิดประตูเธอก็ต้องประจันหน้ากับเจ้าของร่างสูงที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงขวางทางเธออยู่ สีหน้าคมเข้มเรียบตึง คิ้วขมวด ดวงตาจ้องเธอเขม็งจนแทบหายใจไม่ทั่วท้อง ธีริญเม้มริมฝีปากกลั้นใจเดินผ่านเขาไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา เรียวแขนที่เฉียดเขาถูกกระชากลากเดินตรงไปทางบันไดหนีไฟ แล้วดันร่างบางประชิดติดกำแพงอย่างไม่เบามือนัก
ธีริญหันหลับมาจ้องตาภิฌานเขม็ง ความเจ็บปวดที่กดดันมาหลายวันระเบิดโพล่งเป็นลาวาอารมณ์
“คุณทำบ้าอะไร!?”
“ผมต่างหากที่ต้องถามคุณว่าเป็นบ้าอะไร เก็บข้าวของออกจากบ้านทำไม แล้วนี่...” เขาหยิบโน้ตชูหราให้เธอเห็นเต็มๆ ตา เค้นเสียงถามว่า “มันหมายความว่ายังไง”
“ไม่เข้าใจภาษาไทยเหรอ” เธอเชิดหน้าจงใจรวนเขา
สีหน้าภิฌานมืดคล้ำยิ่งกว่าเดิม ขบกรามแน่น ก้าวพรวดถึงตัวธีริญแล้วท้าวแขนคร่อมทับกักขังคุกคามเธอให้อยู่ใต้อาณัติของเขา
“ยังไม่ครบกำหนดสี่ปี คุณมีสิทธ์อะไรมาหย่ากับผม”