Episode 04 คำเตือน
ดวงตาคมกริบ แววตาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง สันจมูกโด่งคมรับกับริมฝีปากหยักได้รูป มองเพียงแค่แวบเดียวเธอก็จำได้ในทันทีว่าผู้ชายที่นั่งควงแก้วเหล้าอยู่ในมือบนโซฟาคือใคร
“เป็นอะไรไปยัยมิน” เฟรินที่เห็นมินวาไม่ได้เดินตามมาจึงหันกลับมาดู และท่าทางตัวแข็งราวกับถูกสาปเอาไว้ของมินวายิ่งทำให้เธอสงสัยจนต้องเดินไปเขย่าตัวมินวาเบาๆ เนื่องจากไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกของเธอในตอนแรก
“เรากลับกันเถอะ” มินวาพึมพำออกมาเสียงเบา เพิ่มความสงสัยให้เฟรินเข้าไปใหญ่ ที่เธอเอ่ยปากจะกลับทั้งที่ยังไม่ทันจะได้ขอดูหลักฐานด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะ อุตส่าห์มาถึงนี่แล้วยังไม่ได้หลักฐานเลย”
“หลักฐานอะไร?” อาคินแสร้งถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ถึงแม้บทสนทนาจะพูดคุยกับแดนเทพเพื่อนของเขา แต่สายตากลับจับจ้องไปที่มินวาอย่างไม่ละสายตา
“พอดีคุณมินวาเจอโรคจิตตามรังควานน่ะเลยจะมาขอหลักฐานจากกล้องวงจรปิดไปแจ้งความ” แดนเทพตอบคำถามของอาคินเพื่อแสดงละครในบทของตัวเองได้อย่างแนบเนียนทำเหมือนกับเขาไม่เคยรู้เห็นเหตุการณ์มาก่อน
“อย่างนี้นี่เอง แล้วทำไมรีบกลับซะล่ะยังไม่ได้หลักฐานเลยไม่ใช่เหรอ?” หัวคิ้วหนาเลิกขึ้นพร้อมกับปรายตามองรอฟังคำตอบจากอีกฝ่ายที่ตอนนี้ยืนสติหลุดออกจากร่างไปแล้ว
“นั่นสิ” ขนาดเฟรินเพื่อนสนิทของเธอยังอดสงสัยตามไม่ได้ ถามเล้าหลือเอาคำตอบจากเพื่อนรักเช่นกัน
“ไอ้โรคจิตที่ฉันเล่าให้ฟังก็นั่งอยู่ตรงหน้าพวกเรานี่ไง” มินวาตอบคำถามหลังจากถูกทุกคนรุมกดดันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“คุณมินวาจะบอกว่าอาคินเพื่อนผมคือโรคจิตที่คุณหมายถึงอย่างนั้นเหรอครับ!” แดนเทพแสร้งแสดงท่าทีตกใจหันไปมองหน้าอาคินเพื่อนของตัวเองตาโต
“หมายความว่ายังไงฉันงงไปหมดแล้ว” เฟรินมองหน้ามินวากับอาคินสลับกันไปมาด้วยความงุนงง
“กลับก่อนเถอะเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง” มินวาโน้มตัวมากระซิบเบาๆ ข้างหูเฟรินให้พอได้ยินบทสนทนากันสองคน เธอรู้ตัวแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยจริงๆ ถึงแม้แดนเทพจะแสร้งทำเหมือนเต็มใจช่วยเหลือเธอ และไม่รู้เห็นเหตุการณ์มาก่อน แต่สายตาของเขมันต์ที่นั่งดูทุกอย่างอยู่เงียบๆ นั้นทำให้เธอรู้ว่าต่อให้อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร
“กลับก็กลับ” จากน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยสู้ดีของมินวาทำให้เฟรินเลือกที่จะทำตามคำขอของเพื่อน คิดว่าเธอคงมีเหตุผลสำคัญเป็นแน่
“งั้นพวกเรากลับก่อนนะคะ”
“แล้วหลักฐานล่ะครับไม่เอากันแล้วเหรอ” แดนเทพเอ่ยถาม
“อืม คงไม่ต้องแล้วมั้งคะ ถ้าจะใช้วันหลังจะมารบกวนใหม่แล้วกันค่ะ” เฟรินหันไปมองหน้าเพื่อนก่อนจะเป็นคนสรุปออกมา
ในขณะที่ทั้งสองสาวเตรียมตัวกลับออกจากที่นี่ อาคินก็ลุกขึ้นยืนเดินไปจับข้อมือมินวาเอาไว้ ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งตัวโยนรีบดึงมือกลับในทันที
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” มาเฟียหนุ่มไหวไหล่เบาๆ ราวกับว่าเขาไม่ตั้งใจทำให้อีกฝ่ายตกใจ
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย”
“แต่ฉันมี”
เฟรินที่ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์อะไรเลยในตอนนี้ขมวดหัวคิ้วสวยพร้อมกับพยายามสังเกตทั้งสองฝ่ายเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น และสายตาจริงจังของเธอนั้นทำให้แดนเทพแอบอมยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเดินเข้ามาคว้ามือเฟรินไปจับเอาไว้แล้วพาเธอเดินออกไปจากห้องท่ามกลางเสียงโวยวายของเธอ
“จะพาฉันไปไหน! ปล่อยนะนายนรกส่งมาเกิด!”
หลังจากแดนเทพจัดการเพื่อนสนิทของมินวาออกไปได้สำเร็จอย่างง่ายดาย เขมันต์ที่นั่งอยู่ด้านในก็ลุกขึ้นเดินมาตบบ่าอาคินเบาๆ สองทีก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทำให้ภายในห้องตอนนี้เหลือเพียงแค่เธอ กับ เขา...เท่านั้น
“ทำไมรีบหนีกลับขนาดนั้นล่ะ ฉันบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยไม่ได้ยินเหรอ?” ทันทีที่มีโอกาสร่างหนาก็เดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างบาง ระยะที่ใกล้จนปลายจมูกชนเข้ากับแผงอกแกร่งจนได้กลิ่นน้ำหอมแบรนด์หรูอ่อนๆ ทำให้มินวาเผลอกลั้นหายใจไปโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมต้องหนี ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” มินวาพยายามทำใจดีสู้เสือเอาไว้ ถึงแม้มือของเธอตอนนี้จะชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อก็ตามที
“ฉันจำได้ว่าที่เราเจอกันครั้งก่อนเธอบอกว่าที่นั่นไม่ใช่ที่อโคจรฉันทำอะไรเธอไม่ได้อย่างนั้นใช่ไหม แล้วตอนนี้ล่ะมีแค่เธอกับฉัน ฉันควรทำอะไรดี”
ใบหน้าหวานเบี่ยงหลบมือหนาที่ยื่นมาสัมผัสกรอบหน้าเธอด้วยความหวาดกลัว และขยะแขยงเขาในคราเดียวกัน
“ยิ่งเธอรังเกียจมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากเล่นสนุกกับเธอมากเท่านั้น”
“ฉันไม่ได้อยากเล่นกับคุณ ฉันไปทำอะไรให้คุณนักหนาถึงต้องตามรังควานกันแบบนี้ด้วย ทำแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ” เธอพยายามเอากฎหมายเข้ามาช่วย แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาราวกับสิ่งที่เธอพูดช่างน่าขันนักหนา
“ถ้าตำรวจมันอยากช่วยเธอ เธอคงไม่ต้องมาหาหลักฐานเองถึงที่นี่หรอก จริงไหม?”
“คุณต้องการจะสื่ออะไรกันแน่”
“แค่อยากเตือนเธอเอาไว้ว่าอย่าพยายามดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ถ้าไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเธอ” ถ้อยคำข่มขู่ทำเอาคนตัวเล็กกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเคืองที่เขาเอาคนรอบตัวเธอมาข่มขู่
“เธอจะไม่เชื่อที่ฉันพูดก็ได้นะ แต่ฉันสามารถพิสูจน์ให้เธอเห็นได้ว่าฉันทำอะไรให้เธอยอมแพ้ได้บ้าง”
“ฉันจะหลีกเลี่ยงทุกทางที่มีโอกาสเจอคุณ”
“คิดว่าเธอจะหนีฉันพ้นได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ แต่ถ้ามั่นใจว่าทำได้ฉันก็หวังว่าเธอจะไม่เป็นฝ่ายพาตัวเองมาเจอฉันให้ได้อย่างที่ปากว่าก็แล้วกัน เพราะฉันมีลางสังหรณ์ว่าเราจะได้เจอกันอีก” ริมฝีปากหนายกยิ้มมุมปาก พร้อมกับใช้มือบีบปลายคางมนให้หันกลับมามองหน้าเขา ดวงตาคมจ้องมองริมฝีปากบางด้วยสายตาหื่นกระหายที่ปิดซ่อนเอาไว้ไม่มิด ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไปมาบนริมฝีปากอ่อนนุ่มจนคนตัวเล็กสั่นสะท้านไปทั่วร่าง
“ฉันไม่มีทางพาตัวเองมาเจอคุณอีกแน่” มินวาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะรวบรวมสติผลักร่างสูงให้ออกห่าง
“ถ้ามั่นใจอย่างนั้นก็ดี” อาคินคลี่ยิ้มบางๆ ตอบกลับไป
ยิ่งเธอมั่นใจมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสนุกมากเท่านั้น ถ้าเธอซ่อน เขาจะเป็นฝ่ายออกล่าเธอด้วยตัวเขาเอง...