ตอนที่ 3
โชคชะตาเล่นตลกทำไม
เราไม่ตลกด้วยหรอกนะ
2 เดือนผ่านไป
“ฉัตรเอ๊ย!”
“จ๋า… ยาย”
“ยายนึ่งข้าวสุกแล้ว เอาไปรอใส่บาตรได้แล้ว”
“จ้า” กมลฉัตรขานรับออกมาจากในห้องนอนของเธอ
หญิงสาวสำรวจตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วเธอจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วออกจากห้อง เดินไปหายายที่ครัวซึ่งต่อเติมออกมาจากตัวบ้านปูนชั้นเดียว
ห้องครัวกว้างขวาง มีทั้งเตาแก๊สและเตาถ่าน ผนังห้องครัวด้านที่ไม่ติดกับตัวบ้านก่อด้วยปูนสูงประมาณหนึ่งเมตร แล้วต่อด้วยไม้ระแนงจนถึงเพดาน ห้องครัวจึงปลอดโปร่งโล่งตา และมีประตูสำหรับเปิดออกไปหลังบ้านด้วย ที่หลังบ้านมีแปลงผักสวนครัวหลายแปลง ห่างออกไปเป็นทุ่งนาของยาย มีเนื้อที่ราวยี่สิบไร่
“กระติ๊บข้าววางอยู่บนโต๊ะนั่นแหละ รีบออกไปรอที่หน้าบ้าน ชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ทันพระหรอก”
“จ้า…” กมลฉัตรลากเสียงยาว
พอแม่ใหญ่นวล… ยายของเธอหันมามองด้วยสายตาดุ หญิงสาวก็ยิ้มกว้าง คว้าเอากระติ๊บข้าวมากอดไว้ แล้วรีบเผ่นออกจากห้องครัวก่อนที่ยายจะเทศนายาวกว่านี้
กมลฉัตรสวมเสื้อยืดสีขาวกับผ้าซิ่นไหมสีชมพูลายสวย ผ้าซิ่นที่เธอนุ่งยายของเธอเป็นคนทอเองกับมือ ยายทำตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือเลี้ยงหม่อนเลี้ยงไหม คิดลวดลาย ย้อมเส้นไหม และทอเป็นผืน
กมลฉัตรเป็นหลานเพียงคนเดียวของยาย สืบสายเลือดจากท่านโดยตรง แต่เธอทำอะไรพวกนี้ไม่เป็นสักอย่าง
สาวกรุงเทพฯ คนสวยที่เพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้เพียงสองเดือน เปิดประตูบ้าน สวมรองเท้าแตะหนีบสีฟ้าพื้นสีขาว แล้วเดินไปเลื่อนประตูรั้วเปิดออกพอให้มีช่องว่างเล็กน้อย ร่างบางเดินออกไปยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อรอใส่บาตร
“อีนางฉัตร… ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน อวบขึ้นหลายเติบเนาะ” ป้าเล็กที่อยู่บ้านใกล้กันหันมายิ้มและทักทายด้วยประโยคสไตล์ป้าข้างบ้านของแท้ นางบอกว่าตั้งแต่กมลฉัตรกลับมาอยู่ที่บ้าน เธออวบขึ้นเยอะเลยนะ
กมลฉัตรหันไปยิ้มอ่อนบาง พยักหน้ารับ
“จ้า”
กมลฉัตรเองรู้สึกว่าอึดอัดขึ้นนิดหน่อย กางเกงก็คับเล็กน้อย คงเป็นเพราะเธอกินอิ่ม นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ ร่างกายก็เลยเติบโตขึ้น เธอจะใช้คำว่าเติบโตนี่แหละ ไม่ใช้คำว่าอวบหรืออ้วนเหมือนป้าข้างบ้านว่าเธอหรอก
“แล้วไม่กลับไปหางานทำที่กรุงเทพฯ แล้วเหรอ จะอยู่ที่บ้านตลอดไปใช่ไหม จะทำอะไรกินเหรอ หมู่บ้านเราก็เล็ก ๆ เองนะ ไม่มีงานอะไรให้ทำหรอก แล้วจะหาเงินที่ไหนมาเลี้ยงแม่ใหญ่นวลล่ะ”
กมลฉัตรหันหน้าหนี ทำปากขมุบขมิบครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้ป้าข้างบ้านแล้วตอบ
“ก็คงขุดปู ขุดหอย เก็บผักเก็บหญ้าแถวทุ่งนาทำให้ยายกินแหละจ้ะ”
กมลฉัตรเป็นคนอีสาน เธอฟังภาษาอีสานออกทุกคำ แต่ด้วยความที่พ่อกับแม่พูดคุยกับเธอด้วยภาษากลางตั้งแต่เล็ก หญิงสาวจึงติดพูดภาษากลาง และก็พูดมาตลอด เธอพูดภาษาอีสานได้ แต่พูดได้เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ เท่านั้น หากให้พูดโต้ตอบเป็นประโยคยาว ๆ สำเนียงจะแปลก ฟังไม่รื่นหู ฟังแล้วตลก เธอก็เลยเลือกที่จะพูดภาษากลางในชีวิตประจำวัน ใครจะว่าดัดจริตยังไงก็ช่าง เธอไม่สนใจอยู่แล้ว
ได้คำตอบที่ออกเชิงประชดประชัน ป้าเล็กคนข้างบ้านก็หยุดพูดหยุดถาม แล้วหันไปพูดคุยกับยายอีกคนที่อยู่บ้านหลังถัดไป ซึ่งขยับมายืนรอใส่บาตรอยู่หน้าบ้านป้าเล็ก ทั้งสองซุบซิบพูดคุยกัน กมลฉัตรเดาว่าก็คงไม่พ้นพูดคุยเรื่องของเธอนั่นแหละ
ถ้าไม่ติดว่าต้องรอใส่บาตรตามที่ยายบอก กมลฉัตรคงหอบกระติ๊บข้าวเดินเข้าบ้านแล้ว หญิงสาวอดทนรอกระทั่งหลวงพ่อกับพระอีกสามรูปเดินมาถึงหน้าบ้าน เธอใส่บาตรข้าวเหนียวเสร็จแล้ว ก็ยกกระติ๊บข้าวขึ้นเหนือหัว และรีบเดินเข้าบ้านไปก่อนที่ป้าข้างบ้านจะหันมาถามอะไรเพิ่ม
“ยายจ๋า… ฉัตรหิวมาก ๆ”
เสียงนำไปก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าไปถึงครัว แม่ใหญ่นวลย่างเนื้อแดดเดียวเสร็จพอดี นางจัดใส่จานแล้วยกมาวางลงบนแคร่ที่อยู่กลางห้องครัว
กมลฉัตรซอยเท้าเร็วเดินไปนั่งลงบนแคร่ เธอวางกระติ๊บข้าวลงข้างจานเนื้อย่างที่มีกลิ่นหอมฉุย ทว่าเพียงแค่สูดกลิ่นเข้าจมูก คนที่เคยชอบกินเนื้อแดดเดียวกับข้าวเหนียวนึ่งร้อน ๆ กลับต้องชะงัก ใบหน้าบิดเบ้ รู้สึกพะอืดพะอม ปั่นป่วนมวนในท้องไปหมด จนต้องลุกจากแคร่แล้ววิ่งไปเปิดประตูออกไปหลังบ้าน
กมลฉัตรยืนโก่งคออาเจียนอยู่หลังบ้าน เพราะตั้งแต่ตื่นมาเธอก็ยังไม่ทันได้กินอะไรเลย สิ่งที่ออกมาจึงมีแค่น้ำย่อยเหนียว ๆ ใส ๆ ทั้งขมและก็เปรี้ยวในปาก
แม่ใหญ่นวลเดินตามหลานสาวออกมา ลูบหลังให้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่สบายหรือเปล่าลูก ปวดหัวไหม ไหนดูซิ คีงฮ้อนบ่”
แม่ใหญ่นวลถามหลานสาวว่าตัวร้อนไหม พร้อมกับแตะไปตามแขนของหลานด้วยความเป็นห่วง
“ตัวก็ไม่ร้อน เมื่อคืนนอนดึกหรือเปล่า”
กมลฉัตรพยักหน้ายอมรับ หญิงสาวยืดตัวยืนตรง สูดลมหายใจลึก แล้วเดินไปตักน้ำโอ่งมาบ้วนปาก