ตอนที่ 6 เจ็บติ๋ม
ภารัญนอนตัวแข็งทื่อ หายใจติดขัดไม่สะดวก เมื่อรุ่งเช้าหลังจากผ่านคืนเข้าหอ เจ้าสาวแก้มป่องนอนดิ้นปีนขึ้นมาทับเขาอยู่ครึ่งตัว ตอนนี้เองที่ภารัญเข้าใจประโยคขอร้องของมนตกานต์เมื่อคืนว่า เพราะเหตุใดเธอจึงห้ามไม่ให้เขาถีบ
“นี่...นี่เธอ...มนตกานต์” ภารัญสะกิดไหล่คนที่นอนน้ำลายไหลลงมาจนเปียกเสื้อของเขา
“ตื่นได้แล้ว”
“หือ” สาวน้อยขี้เซายกมือขึ้นมาเกาหัว แต่ยังไม่ยอมยกแก้มป่องเปรอะคราบน้ำลายออกไปจากอกเสื้อ
“หนูกานต์ ฉันต้องไปทำงานนะ”
“หา ทำงานหรือคะ” หน้ายุ่ง ปากยู่เลอะคราบน้ำลายเหนียวขยับลุกขึ้นมานั่งโงนเงน ตาปรือพยายามลืมขึ้นมองหน้าสามีตามกฎหมาย
“ใช่ เรื่องฮันนีมูน ฉันขอติดเธอเอาไว้ก่อนนะ งานแต่งงานกะทันหันเกินไป ช่วงนี้ที่บริษัทของฉันกำลังมีโพรเจกต์ใหญ่ต้องเร่งดำเนินการ เธอคงไม่ว่าอะไรใช่หรือเปล่า”
“อืมมมม คุณภารัญคะ หนูก็อยากทำงานด้วย”
“ทำงาน”
“ค่ะ หนูออกไปหางานทำนะคะ”
“ทำไมล่ะ อยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณแม่เท่านั้นก็พอแล้วนี่ ในฐานะสามียังไงฉันก็ดูแลเธออยู่แล้ว”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ใช้เงินคุณมันจะไปสนุกอะไร สู้หนูออกไปทำงานหาเงินเองดีกว่า ส่วนคุณป้ายังไงหนูก็รักท่าน หนูดูแลได้ไม่มีปัญหาเลยค่ะ”
“ถ้าเธออยากทำ อย่างนั้นก็ตามใจ ฉันจะช่วย...”
“โน โน โน ไม่เอาค่ะ หนูจะออกไปหาสมัครงานเอง” มนตกานต์ยกมือขึ้นมาโบกไปมา ทำท่าปฏิเสธความช่วยเหลือ
“แน่ใจนะว่า ไม่อยากให้ฉันช่วย” ภารัญนั่งมองแววตาเป็นประกาย อันเปี่ยมไปด้วยความหวังของนักศึกษาจบใหม่
“ชัวร์!!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเธอ”
สาวน้อยเดินคอตกกลับเข้ามาภายในคฤหาสน์
หลังงามของตระกูลอัครเดชเดชา โดยมีสายตาเป็นห่วงเป็นใยของแม่สามีมองตามไม่ห่าง เรื่องการออกไปสมัครงานของมนตกานต์นั้น ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด จึงทำให้ทุกคนเป็นห่วง ด้วยเพราะครอบครัวทำธุรกิจและเปิดบริษัทต่าง ๆ มากมายทั้งบริษัทเล็ก บริษัทใหญ่ ทั้งเพียงเพ็ญและภารัญจึงรู้ว่า ใบปริญญาของมนตกานต์คงใช้หางานได้ยาก เนื่องจากจบมาไม่ตรงสายงาน ซ้ำประสบการณ์การทำงานก็ไม่มี
“วันนี้สมัครงานเป็นยังไงบ้าง” ภารัญหันไปถามสาวน้อยที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำรื้อเอกสารประกอบการสมัครงานนำมาวางเรียงจัดชุด เพื่อให้หยิบจับค้นหาได้ง่าย
“อืมมมม ยังไม่ได้ค่ะ เขาบอกว่าเดี๋ยวติดต่อมา แต่หนูรอมาหลายวันแล้วไม่เห็นมีใครโทรมาสักคน”
“แล้วพรุ่งนี้จะไปสมัครงานที่ไหน” ภารัญพยักหน้าไปยังกองเอกสารจำพวกสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน วุฒิการศึกษา ที่มนตกานต์กำลังสอดมันใส่ลงไปในแฟ้มพลาสติกใส
“บริษัทเอเค เรียลเอสเตรท ค่ะ” สาวน้อยวิ่งถือโทรศัพท์มือถือมายื่นให้สามีดู ภารัญเหล่หางตาปรายมองหน้าจอโทรศัพท์นั้นครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้
“คิดว่าจะได้งานไหม” ภารัญตั้งคำถามภรรยาสาวทันที
“หนูคิดตลอดแหละค่ะว่าจะได้”
“แล้วเธออยากทำงานที่นี่จริงหรือ”
“ค่ะ คุณดูนี่สิคะ สวัสดิการดีมาก ๆ เลย”
มนตกานต์กระโดดขึ้นไปบนเตียงแล้วคลานไปนั่งลงข้างสามี นิ้วชี้จิ้มลงไปยังหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วไล่ไปตามหัวข้อสวัสดิการของพนักงานประจำ หากได้รับการบรรจุแล้ว มีทั้งประกันสังคม ประกันกลุ่ม เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ วันหยุด วันลา เบี้ยขยัน โบนัสปลายปี
“อืม บริษัทนี้ดีจริง ๆ นั่นแหละ” ยิ้มพอใจถูกภารัญ
อมเอาไว้ตรงมุมปาก
“คุณภารัญคะ หนูต้องทำยังไงเขาถึงจะรับหนูเข้าทำงานคะ” คนไม่มีประสบการณ์เอ่ยขอคำแนะนำ
“ส่วนมากการตัดสินใจรับพนักงานใหม่ มักอยู่ในขั้นตอนการสอบสัมภาษณ์ การตอบคำถาม ถ้าช่วงนั้นเธอทำได้ดีฉันว่าพรุ่งนี้คงไม่มีปัญหาอะไร”
“แล้วหนูต้องตอบยังไง คนที่เขาสัมภาษณ์เขาถึงจะชอบ แล้วรับหนูเข้าทำงาน”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวคืนนี้เธอมาซ้อมสัมภาษณ์งานกับฉัน แบบนี้ดีหรือเปล่า”
ภารัญใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ในการสวมบทบาทเปลี่ยนจากสามีเป็นเจ้าหน้าที่สอบสัมภาษณ์ โดยมีภรรยานั่งตอบคำถามทุกข้ออย่างตั้งใจ จนเมื่อเขามั่นใจว่ามนตกานต์ท่องจำและเข้าใจในข้อมูลหลักอันมีความสำคัญ ตามที่ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลทั่วไปต้องการ เขาจึงพูดให้กำลังใจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้มนตกานต์เพิ่มเติม
“ถ้าหนูได้งานจริง ๆ หนูจะตำน้ำพริกกะปิให้คุณ เป็นการตอบแทนนะคะ”
“ฮึ ฮึ โอเค ฉันจะรอกินน้ำพริกกะปิฝีมือเธอแล้วกัน เอาละ ไปนอนได้แล้ว” ภารัญเผลอหลุดหัวเราะออกมา พยักหน้ารับรู้ถึงรางวัลใหญ่ที่เขาจะได้รับ จากนั้นหันไปกดสวิตช์ปิดไฟ ล้มตัวลงไปนอนเคียงข้างภรรยา
“สิระ วันนี้มีการสัมภาษณ์รับพนักงานใหม่ใช่หรือเปล่า” ภารัญเงยหน้าขึ้นมาถามเลขานุการส่วนตัว
“ครับ ทุกวันจันทร์สัปดาห์แรกและสัปดาห์ที่สามของเดือน ฝ่ายบุคคลจะเรียกคนมากรอกใบสมัครแล้วสัมภาษณ์พนักงานใหม่”
“นายช่วยลงไปดูให้ฉันทีนะ”
“คุณภารัญมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คนที่ชื่อมนตกานต์น่ะ พอดีเธอเป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของคุณแม่ ถ้าคุณสมบัติหรือทักษะต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มากจนเกินไป ช่วยหาแผนกอะไรว่าง ๆ ให้เธอด้วย”
“ได้ครับ คุณภานรัญ”
“นั่นเสียงใครร้องเพลงในครัว หือ” คุณหญิงเพียงเพ็ญเดินมาชะโงกหน้าเข้าไปภายในห้องครัวใหญ่ เห็นแม่ครัว แม่บ้านยืนสาละวนจัดเตรียมอาหาร หากแต่หนึ่งในนั้นคือลูกสะใภ้เสียงหวานที่กำลังนั่งโขลกสากหินลงไปในครกพร้อมกับร้องเพลงเจื้อยแจ้ว
“คุณกานต์ค่ะ ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีอะไรมา”
“เห็นอย่างนี้แล้วฉันค่อยสบายใจหน่อย อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า หนูกานต์กำลังมีความสุข ฉันยังห่วงว่าพอแต่งงานกับตารัญแล้ว ทั้งสองคนจะมึนตึงใส่กันเสียอีก”
“เอ๊ะ เสียงรถคุณภารัญมาแล้ว คุณกานต์คะ คุณภารัญกลับมาแล้ว” เสียงครกหินขาดช่วงทิ้งระยะหายไปเมื่อเสียงรถยนต์คันใหญ่แล่นเข้ามาจอดเทียบอยู่หน้าบ้าน
“มาแล้วเหรอ” มนตกานต์ทิ้งสากหินในมือกระโดดแผล็ววิ่งออกจากครัวพุ่งไปหาสามีทันที ภารัญมองภรรยายิ้มร่าวิ่งถลาตรงมาทางตนเอง ก่อนจะรีบอ้าแขนรับเพราะเห็นว่ามนตกานต์ไม่ได้ชะลอความเร็วของเท้าเลยสักนิด
“คุณภารัญ หนูได้งานแล้ว หนูได้งานแล้ว หนูดีใจที่สุดเลย” แขนเรียวกอดรัดรอบร่างที่ยืนปักหลักมั่น ดวงตาหวานช้อยเชยเงยขึ้นมาประสานสายตาเขาอย่างมีความสุข
“อย่างนั้นเหรอ ดีใจด้วยนะ”
“ขอบคุณนะคะ ถ้าเมื่อคืนนี้คุณไม่ซ้อมสัมภาษณ์ให้ หนูคงตอบคำถามพวกเขาไม่ได้แน่”
“อย่างนั้นเหรอ เขาถามคำถามที่ฉันบอกเธอไปเหรอ” ภารัญแกล้งตีหน้าซื่ออย่างแนบเนียน
“ค่ะ ถามเหมือนที่คุณบอกเป๊ะเลย” นิ้วเล็กยกขึ้นมาดีดใส่กันเสียงดังเป๊าะ
“อย่างนี้ฉันก็จะได้กินน้ำพริกกะปิฝีมือเธอแล้วสิ”
“ค่ะ หนูกำลังตำน้ำพริกอยู่ คุณภารัญขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวกับข้าวเสร็จแล้วหนูวิ่งขึ้นไปเรียก”
“เห็นอย่างนี้แล้ว คุณหญิงคงหายห่วงแล้วนะคะ อีกไม่นานคุณหญิงคงได้อุ้มหลานแน่ ๆ” แม่บ้านคนสนิทยืนอมยิ้มแอบมองภาพคู่สามีภรรยาที่ยืนกอดกันอยู่หน้าบ้าน
“ฉันก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน”
โครม !
ภารัญหันขวับมองกลับไปยังบานประตูห้องน้ำ ก่อนจะพุ่งพาตัวเองออกมาเพราะมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง บนพื้นห้องนั้นมนตกานต์นั่งขดตัวงอ ร้องโอย ๆ สองมือกุมลงไปบีบบิดปิดของสงวน
“โอ๊ยยยยย ซี้ดดดด” หน้าแดงบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“หนูกานต์” ภารัญก้มลงไปประคองร่างงองุ้มนั้นให้ลุกขึ้นมาจากพื้น
“โอยยยย จิ๋มพังหมดแล้ว ยังไม่ได้ใช้งานเลย”
“แล้วใครใช้ให้วิ่งอย่างนี้เล่า คราวหน้าค่อย ๆ เดินสิ”
“ก็หนูรีบนี่ บุบหมดแล้วมั้งคะเนี่ย”
“เจ็บมากหรือเปล่า ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลไหม”
“หนูจะเป็นหมันไหมคะ”
“เอ่อ...ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า” สายตาประหม่าเบนหลบไม่กล้ามองลงไปยังจุดเกิดเหตุตรง ๆ ยายเด็กนี่ก็ช่างกระไร ขยันเอาส่วนสำคัญไปชนนั่นชนนี่อยู่เรื่อย
คุณหญิงเพียงเพ็ญพร้อมคนรับใช้ในบ้านสามสี่คน หันไปมองท่าเดินอันผิดแผกแปลกประหลาดของมนตกานต์
ขาสองข้างเดินหนีบบิดไปบิดมา มือสั่นกำกระโปรงเอาไว้แน่น
“หนูกานต์ เป็นอะไรลูกแล้วหายไปไหนกันมาตั้งนาน กับข้าวเย็นหมดแล้ว” คุณหญิงเพียงเพ็ญมองท่าเดินของลูกสะใภ้ก่อนจะหันไปขมวดคิ้วถามลูกชาย
“หนูขึ้นไปตามคุณภารัญค่ะ” สาวน้อยเดินมาหยุดอยู่ยังเก้าอี้ประจำ ซึ่งมีภารัญเดินตามมาลากเก้าอี้ถอยห่างออกมาจนเกิดช่องว่างพอให้ภรรยาขยับเข้าไปนั่ง
“โอยยยยย” เสียงอ่อยสั่นครวญสะท้านออกมา
“หนูกานต์เป็นอะไรลูก”
“เจ็บจิ๋มค่ะ”
“คุณพระ!!” แม่บ้าน แม่ครัว คนรับใช้ประสานเสียงอุทานออกมาพร้อมกัน ใบหน้าหันพุ่งไปยังภารัญเป็นตาเดียว
“ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”