5. อับอาย

1643 คำ
อารมณ์คุกรุ่นของบุรุษคู่แค้นยังคงปะทุ รอเวลาจัดการอีกฝ่ายอย่างที่ใจหมายมั่น ทว่าสตรีตัวน้อยที่นั่งนิ่งอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง กลับทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย ‘เห้อ! ตกลงอีตาโหวนี่เป็นพระเอกแน่เหรอ ปากว่ามือถึงขนาดนี้ ทำไมมันไม่ค่อยเหมือนเนื้อเรื่องที่อ่านมาเลย ปกติเขาต้องรักนวลสงวนตัว ไม่แตะต้องสตรีไม่ใช่เหรอ ถึงจะรู้แล้วว่าเราเป็นใคร เขาก็ไม่น่า… จูบเราต่อหน้าผู้คนนี่’ นึกแล้วแก้มเนียนใสก็ขึ้นสีเรื่อ โดยเฉพาะจมูกนางมันแดงอย่างกับลูกตำลึงเชียว ดีที่ก้มหน้าอยู่ ฟู่อินโหวจึงมองไม่เห็น แต่ก่อนที่นางจะได้คิดไปไกลจนวุ่นวายใจ ใครคนหนึ่งก็กล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนต้องหันไปยังที่มาของเสียงทันที “นี่ใช่หรือไม่ มู่ตันหยงที่พวกเจ้าพูดถึง” เสียงทุ้มเย็นกล่าวขึ้น ก่อนจะดันร่างอรชรของสตรีนางหนึ่งมาที่กลางห้อง “ใช่ ๆ นางนี่แหละ มู่ตันหยงที่ข้าเคยหลับนอนด้วย ว่าแต่ทำไมหน้าตานางดูอิดโรยอย่างกับคนทำงานหนักเลย” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวขึ้น พร้อมกับเดินมาส่องหน้าให้ชัด “เอ๋! มิใช่ว่านางรอเจ้าบ่าวนานไปจนทนไม่ไหว แอบไปลักลอบหลับนอนกับบ่าวคนไหนมาหรอกนะ” “ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นทันที “หึหึ ท่านโหวไม่กล่าวทักทายภรรยาของเราหรือขอรับ นางช่ำชองเรื่องบนเตียงมากนะ ไม่แน่ท่านอาจจะลืมสตรีที่นั่งอยู่บนตักก็ได้ ความงามไหนเลยจะสู้ท่วงท่าลีลาเร่าร้อนของฮูหยินท่าน” เหวินอี้กล่าวแนะ ทว่ามันปะปนด้วยคำหยันเสียมากกว่า “สตรีผู้นี้หรือเจ้าคะ ที่คุณชายทั้งหลายเคยเชยชมมาก่อนหน้านี้” เป็นสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังท่านโหวเอ่ยถาม “ใช่นางนี่แหละ มู่ตันหยง สตรีที่ครางอยู่ใต้ร่างข้าเมื่อสองเดือนก่อน” ชายหนุ่มผู้หนึ่งรีบเอ่ยขึ้นชัดถ้อยชัดคำ “ใช่ ๆ ครึ่งเดือนก่อน นางก็มาครางใต้ร่างข้า” ตามมาด้วยเสียงสำทับของใครอีกหลายคน รวมถึงซูเหวินอี้ด้วย “มิใช่แค่ท่านโหวหรอกที่โง่เขลา ใครจะไปรู้ว่านางจะมักมากทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ หากรู้ว่านางเป็นสตรีชั่วข้าคงไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ก็โชคดีนักที่ข้าไหวตัวทันจึงไม่หลงแต่งนางเข้าจวน มิเช่นนั้นตระกูลซูของข้าต้องกลายเป็นที่ขบขันของคนทั้งเมืองเป็นแน่” เหวินอี้กล่าวออกมาราวกับกำลังตัดพ้อโชคชะตา ทว่าทุกความหมายกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ช่างน่าสงสารตระกูลฟู่จริง ๆ” สหายของเหวินอี้กล่าวเหมือนเห็นใจ ทว่าริมฝีปากเขากลับยิ้มเยาะใส่เจ้าของจวน “เช่นนั้นพวกท่านก็หมายความว่า นางคือมู่ตันหยง บุตรสาวของโหราจารย์มู่ใช่หรือไม่” ชายหนุ่มที่พาตัวหญิงสาวเข้ามายังคงเอ่ยด้วยเสียงเรียบ หากสังเกตุดีดีจะเห็นว่าเขากำลังยิ้มเยาะคนเหล่านี้อยู่ ทว่ากลุ่มของเหวินอี้กลับไม่มีใครใส่ใจ “ใช่ นางนี่แหละคุณหนูรองแห่งตระกูลมู่” ฉางเล่อสหายสนิทของเหวินอี้ยืนยันเสียงหนักแน่น “ดี! เช่นนั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร” ครานี้ชายหนุ่มกล่าวเสียงดังกว่าเดิม ทำให้ทุกคนถึงกับขมวดคิ้ว “อะไรกัน จู่ ๆ ก็มาถามว่าตนเองเป็นใคร เจ้าออกจากเรือนมาแล้วจำชื่อตนเองไม่ได้หรือ” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน ภายในห้องจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะขบขันของฝั่งซื่อจื่อ “หึ! น่าขัน…ทั้งที่พวกเจ้ารู้จักมู่ตันหยงเป็นอย่างดี แต่กลับไม่รู้จักพี่ชายคนโตของนาง มิน่า! ถึงได้โง่โดนสาวใช้ต้นห้องน้องสาวข้าหลอกได้ เศษสวะทั้งนั้น” “อะ… อะไรนะ! เมื่อครู่เจ้าด่าใคร” เหวินอี้ยกมือชี้หน้าอีกฝ่าย พร้อมกับเดินเข้ามาหาหมายจะจัดการกับคนปากดี ทว่ายังไม่ทันถึงตัวก็ถูกฝ่าเท้าถีบเข้าให้ ร่างของเขาเซล้มลงไปหาสตรีที่นั่งก้มหน้าอยู่กลางห้องทันที “คุณชายอย่านะเจ้าคะ คนผู้นี้คือแม่ทัพมู่คนโปรดของฝ่าบาทเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้หาเรื่องเขาเด็ดขาด” “มะ… แม่ทัพมู่ มู่ตานชุยน่ะหรือ” “ใช่เจ้าค่ะ” “แล้วไยก่อนนี้เจ้าไม่บอกข้า อยากให้ข้าตายใต้คมดาบพี่ชายเจ้าหรือ” เหวินอี้ตวาดสตรีที่เคยร่วมเตียงกับตนเสียงดัง “ข้าไม่ใช่พี่ชายนาง อย่าได้เอาตระกูลมู่มาเกี่ยวข้องกับสาวใช้ชั่วช้าผู้นี้ นางเป็นแค่เด็กกำพร้าที่มารดาข้าสงสารเก็บมาเลี้ยง ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องอันใดกับคนตระกูลมู่ทั้งนั้น” “สะ… สาวใช้!” เสียงประสานของเหล่าบุรุษดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะเหวินอี้ เขาถึงกับผงะคลานถอยทันที “นะ… นางเป็นแค่สาวใช้จริงหรือ เจ้าโกหก นางจะเป็นสาวใช้ได้เยี่ยงไร นางคือมู่ตันหยงคุณหนูรองแห่งจวนมู่” ซื่อจื่อกั๋วกงยังคงโต้เถียง เพราะไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจริง ๆ “ใช่ ๆ นางบอกกับข้าเองว่านางคือคุณหนูรองมู่ ยามที่นางมาหาข้านางก็ใส่ชุดงดงาม มีราคายิ่งกว่าคุณหนูบางคนเสียอีก จะบอกว่านางเป็นสาวใช้ได้เยี่ยงไร” ชายคนหนึ่งรีบแย้ง “ก็เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่ในทุกวัน เป็นอาภรณ์ที่ข้าและพี่หญิงมอบให้อย่างไรล่ะ ไม่แปลกหรอกที่คนภายนอกจะคิดว่านางคือคุณหนูของจวนมู่” เสียงหวานของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น คนในห้องจึงหันไปหาร่างอรชรที่กำลังย่างกลายเข้ามา “คารวะพี่เขย ข้าน้อยมู่ตันหยางบุตรสาวคนเล็กของตระกูลมู่เจ้าค่ะ” มือขาวยกประสานกันก่อนจะย่อตัวลงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ยิ้มอ่อนให้คนที่นั่งยิ้มแหยบนตักท่านโหว “ตามสบายเถิด” อินหลางรับคำแล้วก็หันมาหาสหายตนที่นั่งอยู่ถัดไป “ซ่งเทียนเจ้าลุก” เอ่ยเพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็รีบทำตาม “อะ… เอ่อ ได้ ๆ” องครักษ์วัยสามสิบสองขยับลุกทันที “เชิญคุณหนูสาม” เขาผายมือให้ก่อนจะถอยออกมายืนข้างสหาย “ดะ… เดี๋ยวนะ นี่มันอะไรกัน นางเป็นน้องสาวของมู่ตันหยง ส่วนท่านคือพี่ชายของมู่ตันหยง ละ… แล้วยามนี้เจ้าสาวตัวจริงอยู่ที่ใดกัน” ฉางเล่อเอ่ยถามตะกุกตะกัก “หึหึ…เจ้าสาวของข้า ก็ต้องอยู่กับข้าสิจะให้ไปอยู่ที่ใด” สิ้นคำ อินหลางก็ก้มลงจุมพิตแก้มเนียนโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว “อ๊ะ! ทำไมท่านถึงเป็นคนฉวยโอกาสเช่นนี้หา” ตำหนิเสียงแผ่ว พร้อมกับหยิกที่ท้องเขาเต็มแรง “ซี๊ด! บอกแล้วมิใช่หรือ หากเจ้าลงมือกับข้าคืนนี้จะ…” “ฝันไปเถิด ข้าจะวางยาพิษทำให้ท่านหลับสามวันไม่ตื่นเชียว” ตันหยงไม่ได้ขู่เขา เพราะนางเตรียมยาเอาไว้แล้ว อินหลางเผยยิ้มก่อนจะก้มหน้ากระซิบที่ข้างหูให้ได้ยินกันสองคน “ถ้าไม่กลัวว่าข้าจะเอาเจ้าจนลุกไม่ขึ้นก็ลองดูได้เลย” แก้มเนียนขาวขึ้นสีเรื่อทันที เป็นเหตุให้คนตัวโตอดไม่ได้ที่จะกระชับอ้อมแขนขึ้นอีก ร่างอรชรจึงพยายามขัดขืน “อย่าดื้อ จัดการเรื่องตรงหน้าให้จบก่อน” เอ่ยบอกแผ่วเบา ร่างที่ดิ้นอยู่จึงสงบลง ทว่าหน้าตายังคงบูดบึ้ง “พี่เขยให้ข้าพาพี่หญิงกลับไปพักดีกว่านะเจ้าคะ” ตันหยาง คิดว่าอยู่ตรงนี้มีแต่จะทำให้พี่สาวตนขายหน้า นางจึงคิดว่าควรพากลับห้องดีกว่า เพราะพี่เขยมักจะเอาเปรียบพี่สาวตน นั่ง ๆ ไปก็จุมพิตอยู่นั่น ถึงทั้งคู่จะแต่งงานกันแล้ว อย่างไรเขาก็ไม่ควรทำการประเจิดประเจ้อ แค่นี้สกุลมู่ก็ขายหน้าจะแย่ “พาไปเถิด ทางนี้พี่จะจัดการเอง” ตานชุยเอ่ยกับน้องสาวคนเล็ก ก่อนจะหันมามองน้องเขยที่อายุมากกว่าตนเป็นสิบปี อินหลางนิ่งไปครู่หนึ่ง มิใช่ว่าเขาเกรงกลัวพี่ชายภรรยา เพียงแต่ยามนี้ทุกอย่างมันคลี่คลายแล้ว เขาควรปล่อยมู่ตันหยงกลับไปพักเสีย “เจ้ากลับไปรอข้าที่ห้อง เสร็จธุระทางนี้แล้วข้าจะตามไป เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีก” เสียงเขายังราบเรียบ “เจ้าค่ะ” ตันหยงรับคำ ทว่าคำพูดนางฟังแล้วเหมือนจะเชื่อไม่ได้ อินหลางจึงคว้าแขนเล็กไว้ “ห้ามลงกลอนประตู” เขาเอ่ยอย่างรู้ทัน พร้อมกับจ้อง ด้วยสายตาคมดุ ภรรยาตัวน้อยจึงย่อตัวให้แต่ไม่ตอบกลับอันใด ‘ฝันไปเถอะ ถ้าเชื่อฟังก็ไม่ใช่มู่ตันหยงแล้ว’ ตันหยงนึกในใจก่อนจะหันมาหาน้องสาวตนที่ก้าวเดินมาหานาง ทว่าทั้งคู่ยังไม่ทันได้ขยับตัว ซูเหวินอี้ก็กล่าวขึ้น “เจ้าคือมู่ตันหยงจริงหรือ” ซื่อจื่อกั๋วกงยังคงไม่เชื่อ เพราะเขาไม่อาจทำใจได้ว่าตนนั้นถูกสาวใช้ต้อยต่ำหลอก ตันหยงจึงเผยยิ้มอ่อนให้ก่อนจะเอ่ย “ใช่ ข้าคือมู่ตันหยง บุตรสาวคนรองของท่านโหราจารย์มู่ซางฉี” สิ้นคำนางก็เดินออกไป ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนตะลึงงันอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม