6. ผลแห่งกรรม

1484 คำ
ภายในห้องรับรองที่เคยมีเสียงหัวเราะเฮฮา บัดนี้กลับเงียบราวกับไม่มีคนอยู่เสียอย่างนั้น ทั้งที่ในห้องก็มีคนอยู่นับสิบ โดยเฉพาะฝ่ายของซูเหวินอี้ ยามนี้ไม่มีใครกล่าวอันใดเลย “หึหึ ฮ่าฮ่า สาแก่ใจข้ายิ่งนัก นี่กระมังที่เขาว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นมักวนกลับมาหาตนเอง สวรรค์มีตาโดยแท้” เป็นตงไห่ที่เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ มิหนำซ้ำเขายังหัวเราะเสียงดัง ไม่ต่างจากคราวกันที่คนเหล่านี้เคยทำเลย ซูเหวินอี้ได้แต่ขบกรามแน่น เพราะไม่อาจตอบโต้อันใดได้ ยามนี้หากเอ่ยออกไป คงมีแต่ทำให้ตนเองเสียหน้าเป็นแน่ “กลับ!!” เขากล่าวขึ้นมาเสียงดัง สิ้นคำเขาก็ตั้งท่าจะเดินออกมา แต่ร่างสูงกลับต้องหยุดชะงักทันทีที่ใครบางคนทักท้วง “คิดจะกลับก็กลับกระนั้นหรือ” มู่ตานชุยเอ่ยเสียงเข้ม เขาจ้องมองบุรุษที่ว่าร้ายน้องสาวด้วยสายตาคมดุ มือนั้นก็กำดาบแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาดูน่าเกรงขาม “มะ… หมดธุระข้าแล้ว ไยจะต้องอยู่” เหวินอี้รีบเอ่ย “แต่ข้ายังไม่หมดธุระกับพวกเจ้า” ตานชุยกล่าวพร้อมกับยกฝักดาบชี้หน้ากลุ่มของเหวินอี้ “ว่าร้ายทำให้ชื่อเสียงน้องสาวข้าแปดเปื้อน คิดหรือว่าข้าจะยอมปล่อยพวกเจ้าไปง่าย ๆ” “ละ… แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ” เหวินอี้ยังทำเก่ง อ้างยศศักดิ์ของตนเข้าข่ม หมายให้แม่ทัพหนุ่มผู้นี้เกรงกลัวตน เพราะถึงอย่างไร ตำแหน่งบิดาเขาก็สูงกว่าแม่ทัพภาคผู้นี้นัก “หึ! ต่อให้เจ้าเป็นราชนิกูล หากข้าคิดจะเอาเลือดหัวเจ้าออก ใครหน้าไหนก็ช่วยไม่ได้” ครานี้เป็นเสียงของฟู่อินโหว มิหนำซ้ำเขายังสั่งให้บริวารเข้ามาจับคนทั้งสิบไว้ด้วย “ฟู่อินหลาง! เจ้าคิดจะทำอันใด” เหวินอี้คำรามลั่นด้วยความตื่นกลัวที่เริ่มตีตื้นขึ้นมาในใจ หนึ่งคือเขามีความผิดจริง แน่นอนว่าอีกฝ่ายสามารถเอาเรื่องได้ หากให้ขึ้นศาลเขาย่อมต้องแพ้แน่ เพราะที่นี่มีขุนนางเป็นพยานให้อินหลางอยู่หลายคน “พาตัวมันออกไปคุกเข่าที่หน้าจวน พวกเจ้าทั้งหมดต้องขอขมาฮูหยินข้า มิเช่นนั้นอย่าหวังว่าข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” สิ้นคำสั่งท่านโหว คนทั้งสิบก็ถูกหิ้วออกไป บางคนก็ยอมจำนน แต่บางคนกลับขัดขืน โดยเฉพาะซูเหวินอี้และสหาย “ปล่อยข้า! พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้กับข้า” “ไม่มีสิทธิ์หรือ แล้วเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาประจานตระกูลมู่ของข้า เรื่องจริงเป็นเช่นไรไม่สืบให้แน่ชัด แต่กล้ามาเปิดโปงหมายทำให้ตระกูลเราเสื่อมเสีย ทำตัวไร้ยางอายดูหมิ่นสตรีกลับคิดจะร้องหาความเป็นธรรมกระนั้นหรือ น่าขันนัก” มู่ตานชุยคำรามลั่นห้อง โดยไม่นึกเกรงกลัวบารมีอีกฝ่ายสักนิด ซูเหวินอี้ได้แต่ยืนนิ่งเพราะเขาเถียงไม่ออกจริง ๆ เป็นเขาเองที่โง่เขลา ไม่ส่งคนตรวจสอบให้ดี สุดท้ายจึงเป็นตนเองที่เสียเปรียบ กลายเป็นตัวตลกให้คนในงานหัวเราะขบขัน “พาพวกมันออกไป แล้วหาฆ้องมาตีป่าวประกาศด้วย คนเหล่านี้ปล่อยข่าวลือ ทำให้ตระกูลมู่และภรรยาข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง อย่าลืมเอาตัวนางผู้นี้ออกไปด้วย เขียนป้ายติดไว้ว่ามันทำอันใดไว้บ้าง คนชั่วเช่นนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้มันลืมตาอ้าปากได้เด็ดขาด ภายหน้าหากคิดทำอีก จะได้ไม่มีใครหลงกลคำโป้ปดของพวกมัน” ฟู่อินโหวร้องสั่งเสียงดัง ไม่ถึงอึดใจคนชั่วช้าก็ถูกพาออกไปที่หน้าจวน โดยมีแขกเหรื่อที่มาร่วมงานรวมถึงชาวเมืองด้านนอกมามุงดูมากมาย ต่างคนต่างซุบซิบถึงเหตุการณ์ตรงหน้า ทว่าไม่นานนักเรื่องราวก็เริ่มกระจ่าง เมื่อมีคนของท่านโหวเอ่ยเล่าให้ฟัง “จริงหรือนี่ ข้าก็ว่า บุตรสาวท่านโหราจารย์จะทำเรื่องบัดสีชั่วช้าเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น เพราะนางได้ยินคำเล่าลือถึงคุณหนูรองตระกูลมู่มาก่อนหน้านี้สี่ห้าวัน ตนและสหายยังเอาไปเล่าต่อกันอยู่เลย ทว่าวันนี้เรื่องราวกลับตาลปัตรเปลี่ยนไปแล้ว “นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ ชั่วช้าสกปรกยิ่งนัก” อีกคนก็สำทับ พร้อมกับขว้างหมั่นโถในมือใส่สาวใช้ที่เป็นตัวการด้วย “นี่แหนะ! นางตัวอัปรีย์” หญิงแก่ก็ทำตามเช่นกัน ไม่นานนักหน้าจวนโหวก็เต็มไปด้วยเศษอาหารเกลื่อนพื้น “พวกเจ้าช่างกล้านัก มิรู้หรือว่าข้าเป็นใคร” ซูเหวินอี้คำรามใส่ พร้อมกับกวาดตามองชาวบ้านอย่างแค้นเคือง ทุกคนจึงถอยกรูดไปหามุมหลบด้วยความตื่นกลัว “หึ! ยังจะมาทำปากเก่ง ถูกตัดหางปล่อยวัดแล้วเจ้ายังไม่รู้ตัวหรือซูเหวินอี้ ถูกลงโทษให้อับอายถึงเพียงนี้ บิดาเจ้ากลับไม่ส่งคนมาช่วย ข้าว่าตำแหน่งซื่อจื่อของเจ้า มันคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วกระมัง ฮ่าฮ่า” ตงไห่หัวเราะเยาะชอบใจ “นี่เจ้า!” เหวินอี้ชี้หน้าพร้อมกับขบกรามแน่น เขาจึงรีบกวาดตามองไปโดยรอบ เมื่อเห็นคนตระกูลซูเดินมาก็ยิ้มร่า “พ่อบ้านซู ท่านพ่อให้เจ้ามารับข้าใช่หรือไม่” ชายวัยสี่สิบหันมามองผู้เป็นนายเล็กน้อย ก่อนจะหันมาโค้งคำนับฟู่อินโหวที่ยืนอยู่บนทางขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านกั๋วกง ฝากข้าน้อยมาบอกกล่าวท่านโหว ให้สั่งสอนซื่อจื่อได้ตามสบายเลยขอรับ ครานี้ซื่อจื่อของเรากระทำผิดมหันต์นัก รบกวนงานมงคลสมรสของท่านโหวอย่างไม่น่าให้อภัย ท่านกั๋วกงกล่าวว่า วันพรุ่งเขาจะมาขออภัยด้วยตนเองขอรับ ยามนี้ท่านกั๋วกงไม่มีเรี่ยวแรงจะออกมาเผชิญหน้าผู้คนจริง ๆ นายท่านของข้าน้อยรู้สึกอับอายขายหน้านัก” พ่อบ้านซูบอกกล่าวเสียงเครือ และเขายังโค้งคำนับอยู่ ด้านอินหลาง เขายกยิ้มเล็กน้อยหลังจากได้ฟังคำของผู้มาเยือน ก่อนจะเอ่ยขึ้นราวกับเชื่อถ้อยคำที่ได้ยิน “ฝากขอบคุณท่านกั๋วกงที่เข้าใจ เอาเป็นว่าวันนี้ข้าจะสั่งสอนซื่อจื่อกั๋วกงให้เอง บอกนายของเจ้าไม่ต้องห่วง วันพรุ่งข้าคืนบุตรชายให้แน่” “ขอบคุณท่านโหวขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน” สิ้นคำพ่อบ้านซูก็ถอยออกไป จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินตรงไปตามทางโดยไม่หันกลับมามองผู้ที่เอ่ยเรียกอยู่ทางด้านหลังสักนิด “หึหึ ผิดหวังมากล่ะสิ แม้แต่บิดาเจ้าก็ยังไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วย ดูท่าซูกั๋วกงคงเกรงตนเองจะติดร่างแหไปด้วยกระมัง มิเช่นนั้นเขาไม่มีทางตัดหางเจ้าปล่อยวัดเช่นนี้แน่” ตงไห่หยันอีก “ซูเหวินอี้ เจ้าคงลืมไปแล้วกระมังว่างานมงคลนี้ผู้ใดพระราชทานให้อินหลาง เจ้ามาก่อกวนโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ผลที่ตามมาก็มีแต่เสียกับเสียเช่นนี้แหละ แทนที่วันนี้เจ้าจะได้ทำให้สหายข้าต้องอับอาย กลับกลายเป็นตนเองที่ต้องขายหน้าแทน ข้าล่ะสงสารเจ้านัก” ครานี้เป็นเสียงของซ่งเทียนที่กล่าวหยันบ้าง “คอยดูเถิด หากข้ารอดไปได้ ภายหน้าพวกเจ้าไม่ได้ตายดีแน่ ไม่ว่าใครหน้าไหนข้าก็จะไม่ปล่อยไว้” เหวินอี้เปล่งเสียงรอดไรฟันออกมาอย่างแค้นเคือง ทว่าคำพูดเหล่านี้เขากลับไม่ได้เอ่ยให้ใครได้ยินนอกจากสหายที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างกัน “คนแรกที่ข้าจะจัดการคือนาง กล้าดีเช่นไรมาหลอกลวงให้พวกเราหลงเชื่อ หญิงร้าย ชั่วช้าเลวทรามยิ่งนัก” ฉางเล่อเอ่ยอย่างแค้นใจ นัยน์ตาเขากำลังจับจ้องไปที่ร่างเล็กของม่านหลิง “ข้าจะสับนางเป็นชิ้น ๆ โทษฐานที่ทำให้ข้าต้องอับอาย” เหวินอี้กล่าวด้วยเสียงรอดไรฟัน และเหล่าบุรุษทั้งหลายคงคิดไม่ต่างจากเขา เพราะทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่สตรีนางนี้ผู้เดียว คนเหล่านี้ ไม่มีใครมองเห็นความผิดของตนเองเลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม