6
จะให้อยู่หรือจากไป?
หลังจากเย็นวานที่มีปากเสียงกันในครอบครัว ภาวิตก็ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนในบ้านอีกเลย ไม่ยอมคุยแม้กระทั่งกับภรรยา ส่วนลูกสาวที่ทำให้ผิดหวังก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องตั้งแต่เย็นวานไม่ปริปากหรือโผล่ออกไปให้ใครเห็น วันต่อมาภาวิตก็ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปร่วมงานบวชของลูกชายเพื่อน
ตอนเช้าเข้าวัดทำบุญ พอตกเย็นก็ทำบาปต่อทันที เขายังไม่พร้อมมีหลานตอนนี้
“โยม”
เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง ภาวิตที่ยืนพิงเสาศาลามองภาพงานรื่นเริงในวัดด้วยจิตใจที่ไม่ได้มุ่งอยู่ตรงนั้น หันกลับมาพร้อมพนมมือไหว้เจ้าอาวาสที่ตนรู้จักดี
“โยมมายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียวล่ะ”
“ร้อนน่ะครับท่าน แดดกำลังแรงเลย” ภาวิตคลี่ยิ้มตอบเจ้าอาวาสวัยชราพลางดึงแว่นกันแดดออกจากกรอบหน้า ผู้ทรงศีลพิจารณาแววตาสีหม่นที่หลบวูบไปมาก็ราวกับรู้แจ้งถึงแก่นกลางใจ
“โยมเองก็มีเรื่องที่รู้สึกบาปในใจอยู่แล้ว ยังจะอยากบาปเพิ่มอีกเหรอ เก็บเขาไว้เถอะนะ”
นายตำรวจย่นคิ้วชนกัน มองหน้าผู้ทรงศีลวัยชราอย่างตกใจระคนสงสัย ท่านเอ่ยราวกับมานั่งอยู่กลางใจของตน ราวกับรู้ซึ้งถึงกระแสความคิดที่วนเวียนในจิตใจ
“ท่านพูดเรื่องอะไรครับ”
“ใจโยมตอนนี้มีแต่ความรู้สึกผิด ไหนจะผิดที่ทรยศหน้าที่การงาน แล้วตอนนี้ก็กำลังห้ามวิญญาณไม่ให้มาเกิด”
“ท่านอ่านใจผมได้เหรอครับ!”
“อาตมาไม่ได้วิเศษขนาดนั้นหรอก” เจ้าอาวาสระบายยิ้มอย่างถ่อมตน
ภาวิตพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพระรูปนี้มาบ้างว่ามีความสามารถที่เหนือธรรมชาติอย่างน่าทึ่ง แต่ไม่เคยประกาศตนเป็นผู้วิเศษ มีเพียงคนใกล้ชิดที่รับรู้ว่าท่านมีญาณเหนือคนธรรมดา แล้วนำไปพูดกันปากต่อปากเอง แต่ท่านก็เลือกไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์พร่ำเพรื่อ คราใดที่อยากพูดก็จะพูดออกมาเอง
“ยังเป็นแค่ก้อนเลือดไม่ได้เป็นตัวเป็นตน และลูกสาวผมก็มีอนาคตอีกไกล” พวงชมพูกำลังจะมีแสงในวงการบันเทิง กำลังจะได้เป็นดารา ภาวิตอยากให้เธอได้ดีมีชีวิตที่เฉิดฉาย อยากซัพพอร์ตให้ถึงฝั่งฝันเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะอุ้มชูได้
“อาตมาก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องครอบครัวของโยมนักหรอก จะให้ใครอยู่หรือจากไปก็เป็นสิทธิ์เป็นการตัดสินใจของโยมเอง แค่อยากบอกให้ฟังว่าหากเลี้ยงดูเขาให้ได้เกิดเป็นคน แล้วชีวิตของโยมกับครอบครัวต่อจากนี้จะมีแต่ความสุข จะได้ใช้ชีวิตอย่างที่หวัง กิจการที่ฝันก็ทำมาค้าขึ้น เขาจะเกิดมาเกื้อกูลลูกสาวโยม”
“แล้วถ้าผมเลือกไม่ให้เขาเกิดล่ะครับ”
เจ้าอาวาสนิ่งสุขุมมองหน้าฆราวาสที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ “อาตมาพูดเรื่องอนาคตเยอะไปแล้ว ก็ไม่ใช่หมอดงหมอดูด้วยสิ พูดไปก็จะกลายเป็นให้ความหวังและทำให้คิดหนัก อาตมาผิดเองที่มาบอกเรื่องพวกนี้เลยทำให้โยมตัดสินใจยากขึ้นไปอีก โยมกลับไปหารือกับครอบครัวดีกว่าว่าจะเอายังไง ถามลูกด้วยเพราะเขามีสิทธิ์เลือกอนาคตของเขา”
ภาวิตพนมมือไหว้เมื่อเจ้าอาวาสหมดธุระและเบี่ยงปลายเท้าลงจากศาลา ท่านมาทำให้การตัดสินใจยากขึ้นก็จริงในขณะเดียวกันก็เหมือนเตือนสติให้ภาวิตรู้ว่าไม่ควรถือตัวเองเป็นใหญ่ แม้ตนรับบทผู้นำครอบครัวอยู่ก็ตาม
อนาคตของลูกสาวกับก้อนเลือดที่ยังไม่เติบโตเขาควรเลือกอย่างไหนดี?
..........
ภาวิตกลับเข้าบ้านก็เป็นช่วงเย็นย่ำตะวันตกดิน สายน้ำผึ้งและพุดน้ำบุศย์นั่งคอยอยู่ตรงโต๊ะอาหารแต่ไม่มีของกินวางอยู่สักชิ้น ทั้งสองลุกขึ้นพร้อมกันเมื่อหัวหน้าครอบครัวย่างกรายเข้ามาในบ้าน
“ชมพูอยู่ไหน”
“บนห้องค่ะ”
“ขึ้นไปคุยกันหน่อย พุดด้วย” ภาวิตกล่าวจบก็สาวเท้าขึ้นบันได สายน้ำผึ้งปรายดวงตาหนักใจไปทางลูกชาย
“พ่อหน้าแดงเชียว ดื่มมาแน่ๆ รีบขึ้นไปเถอะ”
สายน้ำผึ้งรีบร้อนนำไป กลัวสุราที่วนกันอยู่ในกระแสเลือดของสามีจะนำพายุพัดถล่มลูกสาว พวงชมพูเก็บตัวเงียบไม่ยอมออกจากห้อง สายน้ำผึ้งจึงอยู่ติดบ้านทั้งวันคอยเคาะประตูส่งเสียงเรียกเพื่อให้แน่ใจว่าลูกไม่ได้คิดสั้น เช้ากลางวันเย็นก็วางถาดอาหารไว้หน้าห้อง แต่ลูกไม่แตะต้องเลยสักนิด
“ชมพูเปิดประตูหน่อย”
เสียงทุ้มของบิดาเอ่ยเรียก คนนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงพลันเช็ดคราบน้ำตาบนผิวแก้ม เธอรอพ่อมาตลอดทั้งวัน...รอเพื่อให้เขาพาไปรีดก้อนเนื้อ
พวงชมพูเดินไปเปิดประตูและร่นถอยเข้าไปในห้องพร้อมด้วยสมาชิกในครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า พี่ชายร่างอวบรีบย้ายมาอยู่ข้างน้องสาว ภาวิตเลื่อนสายตาหยามหยันมองหน้าท้องที่แบนราบของลูกสาว
“กี่เดือน”
“สะ สามเดือนค่ะ”
สายตาของภาวิตจับอยู่ที่หน้าท้องซึ่งยังไม่เป็นที่สังเกต อาจเพราะพวงชมพูสวมเสื้อยืดตัวโคร่งพรางหุ่น และรูปร่างก็ผ่ายผอมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยยิ่งดูออกยาก
“งั้นก็คงคลอดประมาณมีนาเมษา ตอนนั้นก็ช่วงปิดเทอมพอดีใช่ไหม”
สายน้ำผึ้งและพุดน้ำบุศย์สะบัดหน้ามองกันประหนึ่งเห็นวัตถุประหลาดลอยเด่นอยู่ตรงหน้า
“พี่พูดเหมือนกับว่าจะให้ลูกเก็บเด็กไว้”
“เธอเองก็ต้องการแบบนั้นไม่ใช่เหรอ” เมื่อคืนก็เอาแต่พร่ำกรอกหูขอให้เขาเก็บเด็กไว้ เธอช่างเป็นแม่ผู้ประเสริฐ ให้อภัยลูกได้อย่างฉับไวต่างจากเขาที่ยังชอกช้ำเจียนตาย เฝ้าคิดสงสัยว่าพลาดตรงไหนและเมื่อไรพวงชมพูถึงออกนอกลู่นอกทางได้ขนาดนี้
“พ่อจะให้น้องเก็บลูกไว้จริงๆ เหรอครับ แล้วเรื่องเรียนล่ะ”
“ก็ต้องเรียนให้จบ! เก็บเด็กไว้และก็ให้มันเลี้ยงเอง และที่สำคัญแกต้องสอบให้ติดมหา’ลัย คลอดเสร็จแล้วก็ไปเรียนปีหนึ่งเลย ไม่ต้องเว้นไม่ต้องพัก ไม่ต้องรอเรียนปีถัดไป แกต้องจบให้ทันเพื่อนร่วมรุ่น แบกท้องโย้ไปเรียนแบบนี้แหละ ไม่ว่าจะอายแค่ไหนก็ต้องไป เพราะพ่อแม่ของแกอับอายยิ่งกว่า” ภาวิตเอื้อมมือเชยคางลูกสาวให้เงยหน้าขึ้นมอง “ใครทำแกท้อง มันเป็นใคร”
“หนู...หนูไม่อยากพูดถึงเขาอีกแล้ว เขาไม่มีตัวตน หนูโง่เอง หนูผิดเองทุกอย่าง หนูเจ็บและไม่อยากจำอะไรอีก”
ภาวิตสะบัดมือจากปลายคางเรียวจนใบหน้าเปรอะน้ำตาหันไปอีกทาง “ทำไมถึงพูดไม่ได้ หรือแกโดนข่มขืน?”
“เปล่าค่ะ”
“ถ้างั้นก็รับกรรมจากความง่ายของตัวเองไป! เรียนให้จบและเลี้ยงลูกเอง”
พวงชมพูหลับตากลั้นใจและพูดออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว
“พ่อคะ หนูจะเอาออก” ...ถ้ามันทำให้พ่อหายเกลียด เธอก็พร้อมจะเอาออก
“แต่ฉันสั่งให้เก็บเด็กไว้!” ภาวิตลงเสียงหนักแน่นจนพวงชมพูสะดุ้งโหยง “แกจงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อยู่อย่างทรมานในบทบาทแม่คนทั้งที่ไม่พร้อม รับผลการกระทำของตัวเองซะ!”
“แต่ว่า...” พวงชมพูไม่ทันเอ่ยสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา มือของพี่ชายก็ดึงแขนเป็นการปราม น้องสาวมองหน้าพี่ที่ส่ายห้ามจึงขบริมฝีปากก้มหน้าอย่างจำนน ภาวิตหมดธุระก็หันหลังออกไปจากห้องพร้อมด้วยสายน้ำผึ้ง
“จำเป็นต้องให้เด็กเกิดมารับกรรม มาทนลำบากกับความไม่พร้อมของชมพูด้วยเหรอคะ เป็นลูกที่ดีชมพูยังเป็นไม่ได้เลย แล้วจะเป็นแม่คนได้ยังไง” พวงชมพูพึมพำเมื่อไร้เงาบุพการี ภายในห้องนอนส่วนตัวเหลือเพียงพี่ชายที่วาดแขนโอบร่างเล็กไว้ด้วยความรัก
“ทำตามที่พ่อบอกเถอะนะ พี่ไม่อยากให้เราปะทะคารมกับเขา เก็บเขาไว้อาจดีกว่าทำแท้งก็ได้”
“แล้วอนาคตหนูล่ะพี่พุด หนูยังสิบแปดอยู่เลย” ริมฝีปากสั่นระริกมาพร้อมน้ำตาที่ร่วงไหลอาบแก้ม
พวงชมพูผละจากพี่ชายแล้วไปนั่งกอดเข่าบนเตียงสามจุดห้าฟุต ต่อให้ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนอย่างไรน้ำตาก็ยังผลิตทันใช้ไม่มีวันเหือดแห้ง ต่อให้เสียใจแค่ไหนก็ย้อนคืนวันไม่ได้ กลับไปยังจุดที่ไม่เคยเสียตัวไม่ได้
“หนูรู้ว่าทุกอย่างเป็นความผิดของหนู ทำลายตัวเองแล้วยังมีหน้าเรียกร้องหาอนาคต แต่...แต่เขายังไม่เกิด เขายังไม่มีพัฒนาการ เขายังไม่ใช่มนุษย์ ชมพูทำใจเรื่องทำแท้งมาแล้วทั้งคืน แต่จู่ๆ พ่อก็มาเปลี่ยนใจแบบนี้”
“แล้วตอนแรกที่ชมพูรู้ตัวว่าท้อง ความคิดแว็บแรกคืออะไร ชมพูอยากกำจัดก้อนเลือดไม่พึงประสงค์ หรืออยากเก็บเขาไว้”
คำถามของพี่ชายเรียกดวงหน้าเปรอะน้ำตาให้เงยมอง พุดน้ำบุศย์หย่อนกายนั่งลงข้างๆ วางมืออูมบนแผ่นหลังบาง น้องสาวตัวน้อยช่างบอบบางและน่าสงสาร
“หนู...หนูไม่ได้อยากทำแท้งตั้งแต่แรก แต่มันไม่ง่ายกับการเป็นคุณแม่วัยใส หนูไม่รู้จะรับมือไหวไหม กลัวคำนินทา ไม่อยากเห็นสายตาของใครต่อใครที่มองมา ที่ไม่อยากทำแท้งไม่ใช่กลัวบาปหรือกลัวเจ็บ แต่แค่อยากลองให้เขาได้เกิดมา คิดแล้วก็ขำ อยากให้ชีวิตคนคนหนึ่งแต่ตัวเองไม่มีอะไรพร้อมสักอย่าง หนูก็เลยเห็นด้วยกับพ่อและทำใจเรื่องทำแท้ง หนูทำใจมาแล้วทั้งวัน”
“...”
“แต่ไม่ว่าจะเลือกอย่างไหนก็ไม่ทำให้พ่อเกลียดหนูน้อยลง คงกลับไปเป็นลูกที่ดีไม่ได้ คงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ชมพูสับสนมากเลยพี่พุด และตอนนี้ก็ปวดหัวมาก”
“ก็เพราะเอาแต่กอดเข่าร้องไห้ทั้งวันไง ดูสิตาบวมหมดแล้ว แม่บอกว่าข้าวปลาเราก็ไม่ยอมกิน ทรมานตัวเองทำไม”
“ไม่ได้ทรมาน แต่มันกินไม่ลง หนูไม่ควรเอาออกจริงๆ เหรอคะ”
“จริงๆ มันเป็นสิทธิ์ของเรา เขาอยู่ในตัวเรา ชมพูจะตัดสินใจโดยไม่แคร์พ่อก็ได้ พี่ไม่ได้ประชดนะ พี่หมายความแบบนั้นจริงๆ”
“และพี่พุดล่ะคะคิดว่าไง”
“ถ้าถามพี่ พี่ก็อยากให้ชมพูเก็บเด็กไว้ แม่เองก็คิดแบบนั้นนะ ไม่รู้ว่าที่พ่อเปลี่ยนใจเป็นเพราะแม่กล่อมด้วยหรือเปล่า” หรือไม่ก็เพราะน้ำเมากล่อมเกลาจนสติสัมปชัญญะไม่เต็มเต็ง
“ทำไมพี่พุดถึงอยากให้เก็บเด็กไว้ล่ะคะ”
“พี่ห่วงสภาพจิตใจเราน่ะ ชมพูเป็นคนคิดมากและเซ็นซิทีฟ ระหว่างการยอมรับสภาพคุณแม่วัยใส กับการทำแท้งเพื่ออนาคตของตัวเอง อย่างไหนที่พวงชมพูน้องสาวพี่จะรู้สึกเป็นตราบาปน้อยกว่ากัน สมมติชมพูมีอนาคตในวงการบันเทิง โด่งดังเป็นซุปตาร์ตัวแม่ วันหนึ่งเกิดมีคนโจมตีว่าเคยทำแท้ง ถึงตอนนั้นพี่กลัวชมพูจะรับมือไม่ไหว น้องเป็นคนจิตใจดีพี่ก็คิดแทนน้องว่าการทำแท้งจะกลายเป็นฝันร้ายทั้งชีวิตของเรา
ชมพูรู้มั้ยว่าชมพูเหมาะกับการเป็นแม่คนนะ พี่รู้ว่าผู้หญิงทุกคนมีสัญชาตญาณและคุณสมบัตินั้น แต่ชมพูมีความอ่อนโยนอ่อนหวาน อ่อนน้อมเชื่อฟังผู้ใหญ่ เราสอนลูกได้ เราเลี้ยงลูกได้ ไม่ต้องเถียงหรอกว่าเราทำให้พ่อแม่ผิดหวังไม่ใช่ลูกที่ดีอีกแล้ว ชมพูผิดพลาดแค่ครั้งเดียวเองนะ”
“เลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หนูไม่พร้อมสักอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเงิน ลำพังตัวเองยังเอาไม่รอดเลย”
“ไม่ต้องกังวล เรื่องเงินพี่ช่วยเอง พี่พอมีเก็บอยู่บ้าง แม่เองก็ไม่ปล่อยให้ชมพูเลี้ยงลูกอดๆ อยากๆ หรอก พี่เชื่อว่าหลานของพี่คนนี้จะเกิดมาอย่างเพียบพร้อม ได้ใช้ชีวิตบนโลกอย่างมีความสุข”
“เขาไม่มีพ่อนะ จะเพียบพร้อมได้ยังไง”
“ไม่จำเป็นหรอก บางทีความคิดที่ว่าลูกต้องมีทั้งพ่อและแม่อาจล้าหลังไปแล้วก็ได้ ทุกความรักความใส่ใจอยู่ที่ชมพูและคนรอบข้าง ไม่ต้องแคร์ความรู้สึกพ่อมากก็ได้ รู้ว่าทำยาก แต่ในระหว่างที่อุ้มท้องนี้พี่อยากให้ชมพูโฟกัสแค่ตัวเองและลูกในครรภ์ก็พอ เข้มแข็งนะ”
พวงชมพูล้มนอนบนหมอนหนุนอย่างอ่อนแรง ปรือตาหนักอึ้งมองเพดานว่างเปล่า “ก็ดีเหมือนกัน เก็บเขาไว้ให้เป็นเหมือนเครื่องเตือนใจ จะเป็นความผิดพลาดเดียวในชีวิตของพวงชมพู จะไม่ยอมให้ชีวิตนี้ผิดพลาดอีก”
พุดน้ำบุศย์ขยับริมฝีปากจะเอ่ยแต่ตัดสินใจกลืนคำพูดลงคอ เขาอยากบอกเหลือเกินว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ชีวิตคนเรามีความผิดพลาดรออยู่เป็นร้อยเป็นพันอย่าง แต่ปล่อยให้เธอได้เรียนรู้เองดีกว่า ในวันนี้น้องกำลังเติบโตและคงเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในบทบาทแม่คนที่ยังไม่พร้อม แต่พุดน้ำบุศย์เชื่อว่าพวงชมพูทำได้
.........