ธนนท์จรดริมฝีปากบนหลังมือของตุ๊กตาหน้ารถ พวงชมพูสะดุ้งตกใจ ดวงหน้าขาวนวลเปลี่ยนสีระเรื่อก่อนชักมือกลับ
“พี่ทำเกินไปเหรอ”
“เปล่าค่ะ ชมพูแค่ไม่ชิน” เสียงให้คำตอบดังแผ่วราวกับพูดในลำคอ พวงชมพูไม่ชอบเวลาตัวเองเขินอาย รู้สึกราวกับเป็นชั่วขณะที่สูญเสียทั้งความมั่นคงและมั่นใจ ไม่ชอบถูกมองว่าอ่อนไหว แม้เป็นปฏิกิริยาโดยธรรมชาติและยากจะห้ามของมนุษย์
“เพราะพี่เป็นแฟนคนแรกด้วยหรือเปล่า ที่ผ่านมาชมพูไม่เคยมีแฟนจริงเหรอ แล้วคนคุยล่ะมีมั้ย”
จะไม่ให้สงสัยคงไม่ได้ ความสวยของพวงชมพูราวกับดอกไม้แตกช่อรอน้ำฝน อ่อนหวานมีเอกลักษณ์ ธนนท์เชื่อว่าหน้าตาและบุคลิกของเจ้าหล่อนจัดอยู่ในสเปคของผู้ชายหลายคน
“ก็เคยคุยๆ บ้างค่ะ แต่ไม่เคยคบ อย่างที่บอกว่าพ่อไม่อนุญาต กับพี่ธามก็ใช่ว่าพ่ออนุญาต” พ่อเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกสาวฝ่าฝืนคำสั่งห้ามมีแฟนก่อนจบมัธยมปลาย
ก็ธนนท์มาทำให้หวั่นไหว เธอไม่ได้ใจอ่อนเพราะรูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์ของเขา แต่พวงชมพูชอบความคิด ทัศนคติ และความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเขา
อีกอย่างที่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งพ่อ เพราะมองว่าตนก็เรียนอยู่ปีสุดท้ายของมัธยมปลาย อีกไม่นานก็สำเร็จการศึกษาแล้ว แอบมีแฟนก่อนกำหนดไม่กี่เดือนคงไม่ถือเป็นความผิดนักหนา และที่ผ่านมาเธอก็เรียบร้อยอยู่ในกรอบไม่เคยทำให้บุพการีผิดหวัง
“ยังไม่ต้องให้ท่านรู้ก็ได้ เอาที่ชมพูสะดวกเถอะครับ” มีลูกสาวสวยขนาดนี้พ่อไม่หวงน่ะสิแปลก “ว่าแต่พี่อยากกินน้ำดอกมะพร้าวจังแฮะ”
“เป็นเด็กนอกแต่ชอบกินน้ำดอกมะพร้าว”
“แปลกเหรอ”
“ก็แปลกนิดๆ ค่ะ”
พี่ธามของเธอกินง่ายอยู่ง่ายกว่าที่คิด สิบสี่วันในความสัมพันธ์ฉันคนรัก ธนนท์ทำพวงชมพูทั้งประทับใจและประหลาดใจในขณะเดียวกัน อาหารเหนือคาวหวานทานได้หมดทุกอย่าง ตักอะไรเข้าปากก็ทำตาโตยิ้มชมเปราะทุกคำ
หรืออาจเพราะเธอประเมินเขาไว้สูงเกินไป ทั้งที่ธนนท์ก็เติบโตในเมืองไทยมาตั้งแต่เกิด เพิ่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนเมืองนอกในช่วงมหาวิทยาลัยนี่เอง เธอคิดของเธอไปเองว่านักเรียนนอกที่อาศัยอยู่ในประเทศที่เจริญกว่าคงเบ้หน้าใส่วัฒนธรรมคร่ำครึ
ซึ่งธนนท์ไม่ใช่คนแบบนั้น น่ารักทั้งหน้าตาและนิสัย หล่อเหลามีเสน่ห์ แต่จะเรียกว่าคมเข้มในแบบชายไทยก็ไม่ถูกนัก โครงหน้าของธนนท์โดดเด่นตรงสันกรามคมชัด ส่วนที่แย่งซีนที่สุดบนใบหน้าคงเป็นสันจมูกที่โด่งโดดเด่นจนกลายเป็นจุดที่ดึงสายตายามมองหน้ากัน ส่วนผิวพรรณก็ขาวผ่องใกล้เคียงในโทนเดียวกับพวงชมพู
“น้ำดอกมะพร้าวหอมหวานชื่นใจดีออก”
“จะเอามั้ยล่ะคะ เดี๋ยวชมพูลงไปซื้อให้”
ขณะนี้รถแล่นอยู่บนถนนนอกเขตเมืองที่รายล้อมด้วยแมกไม้เขียวรื้น มีร้านค้าเล็กๆ ตั้งริมทางลักษณะเป็นเพิงไม้ไม่แข็งแรง เขียนป้ายด้วยเมจิกตัวเบ้อเร่อว่าน้ำดอกมะพร้าว พวงชมพูมองเสี้ยวหน้าที่หรี่ตาครุ่นคิดขณะลากเสียงยาวในลำคอ
“เดี๋ยวเราจะไปคาเฟ่กันอยู่แล้ว ขากลับค่อยแวะก็ได้”
“หวังว่าเที่ยวเสร็จร้านยังจะเปิดรอเรานะคะ”
“อ่า งั้นแวะก็ได้”
ธนนท์เบี่ยงรถชิดซ้ายพร้อมชะลอความเร็ว พวงชมพูยิ้มขำก่อนเปิดประตูลงไปซื้อ รอเพียงห้านาทีร่างเล็กก็รีบจ้ำกลับมาพร้อมฝ่ามือที่บังเหนือศีรษะ
“ฝนเริ่มลงเม็ดหนักแล้วพี่ธาม”
“ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ทริปเราก็ไม่ล่มหรอก”
“สมพรปากนะคะ ดื่มน้ำหน่อยไหมคะ”
“ก็ดีครับ”
พวงชมพูป้อนน้ำดอกมะพร้าวที่ชงพร้อมดื่มในแก้วพลาสติกบรรจุน้ำแข็ง ธนนท์เพียงมอบยิ้มละมุนแทนคำขอบคุณ อยากหันกลับไปพิศหน้าคนสวยเต็มๆ แต่เวลานี้ต้องแบ่งสมาธิมาที่การขับรถ ซึ่งมีอุปสรรคเป็นฝนห่าใหญ่ และเริ่มบดบังทัศนวิสัย จากที่ตกเปาะแปะมาตลอดทางกำลังกระหน่ำหนักขึ้นเรื่อยๆ
เส้นทางทริปเดตในวันนี้ไม่มีที่หมายเป็นพิเศษ เขาตั้งใจพาเธอนั่งรถกินลมชมวิวจากตัวเมืองเชียงใหม่สู่อำเภอฮอดทางทิศใต้ แค่อยากใช้เวลาด้วยกันให้ยาวนานก่อนจะห่างกันคนละซีกโลก แม้ยุคนี้เทคโนโลยีทำให้การติดต่อง่ายดายเพียงปลายนิ้ว แต่นั่นก็ไม่เท่ากับได้นั่งสบตาอยู่ตรงหน้า
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้หลงเธอมากขนาดนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปก็ยิ่งไม่น่าเชื่อว่าความรักของเขาและเธอเริ่มมาจากภาพโปรโมตเพจร้านเสื้อผ้า
“ฝนตกหนักเลยค่ะ” เรียกได้ว่าความสว่างจากทั่วมุมถนนกำลังถูกกลืนกินด้วยห่าฝน
“แย่จัง อุตส่าห์ได้มาเดตกันส่งท้าย ทำไมฝนใจร้ายจังนะ”
“เมื่อกี้พูดท้าทายฟ้าดินดีนัก เป็นไงล่ะ เขาไม่ยอมให้เราได้เที่ยวเลย” พวงชมพูเหลียวมองซ้ายขวาอย่างกังวล บรรยากาศรอบทิศมืดครึ้มทั้งจากฝนฟ้าและป่าสนที่เรียงรายสองข้างทาง
“เฮ้ย!”
เอี๊ยด!
ธนนท์กระทืบเบรกห้ามล้อรถที่เสียหลักหักเข้าไปในป่าสน พวงชมพูพลอยกรี๊ดไปกับเสียงร้องตกใจของเขา สะดุ้งแรงจนน้ำดอกมะพร้าวในมือกระฉอกเลอะเต็มเสื้อเชิ้ตสีดำของชายหนุ่ม
“ชมพูเป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ธนนท์ปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดทับร่าง แล้วเอี้ยวตัวมาสำรวจหญิงสาว
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ธามล่ะเจ็บตรงไหนมั้ย แล้วเมื่อกี้ตกใจอะไรคะ ชมพูไม่ทันมอง”
คนถูกถามเหลียวกลับไปมองถนนตรงจุดที่พารถลงข้างทาง รู้สึกแย่ไม่น้อยที่นอกจากทริปล่มไม่เป็นท่ายังเกือบทำลูกสาวเขาเจ็บตัว
“ไม่รู้ว่าพี่ตาฝาดหรือเปล่านะ แต่เมื่อกี้เห็นงูตัวใหญ่เลื้อยตัดหน้ารถ จะว่าเป็นท่อนไม้ก็ไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็น่าจะวางอยู่ที่เดิม”
พวงชมพูเพ่งตามองไปยังจุดเมื่อครู่ แต่ไม่พบอะไรนอกจากสายฝนที่กระทบพื้นลาดยาง “อาจจะเป็นงูอย่างที่พี่เห็นก็ได้ค่ะ ชมพูว่าเราจอดพักตรงนี้ก่อนดีกว่า ฝนตกหนักจนทุกอย่างขาวโพลนไปหมด”
“พี่ก็ว่างั้นแหละครับ ฝืนขับต่อก็กลัวอันตราย แอบพาลูกสาวเขาหนีเที่ยวด้วยสิ รอฝนเบากว่านี้ค่อยว่ากันเนอะ”
“ค่ะ ว่าแต่เสื้อพี่เลอะหมดเลย ขอโทษนะคะ”
“ขอโทษทำไม มันเป็นอุบัติเหตุ พี่ต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษ เกือบทำชมพูเจ็บตัวแล้วมั้ยล่ะ...ว่าแต่เหนียวเหนอะไปหมดเลยแฮะ” น้ำหวานที่สาดโดนผิวเนื้อกำลังออกฤทธิ์สร้างความระคายเคือง เหนอะหนะลามไปถึงต้นคอจนเจ้าตัวทนไม่ไหวต้องปลดกระดุมเสื้อก่อนเปลื้องออกจากกาย
พวงชมพูเลิ่กลั่กหันหน้าหนีตั้งแต่กระดุมเม็ดที่สองเป็นอิสระจากรังดุม อุณหภูมิยิ่งเห่อร้อนบนผิวหน้าเมื่อแผงอกขาวผ่องโผล่ยั่วรำไร
“ชมพูมีทิชชู่มั้ย”
“เอ่อ มี...มีมั้งคะ”
เสียงตอบตะกุกตะกักเลยทำให้ธนนท์เพิ่งรู้ตัวว่าเปลื้องผ้าโดยลืมนึกไปว่าในห้องโดยสารมีผู้หญิงอยู่ด้วย พวงชมพูค้นหาของที่ต้องการในกระเป๋าสะพายใบเล็กก่อนยื่นให้เขาโดยไม่เหลียวกลับไปมอง ซ้ำยังเบือนหน้าชิดกระจกอีกฝั่ง
ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอเขิน หรือรังเกียจกันแน่ แต่ที่รู้ๆ ธนนท์ชักอยากจะแกล้ง
“เช็ดให้พี่หน่อยสิครับ”
“เช็ดเองก็ไม่ยากนี่คะ”
“ทำไมเหรอ หรือชมพูเขิน”
“เปล่านะ”
พวงชมพูหันกลับมาสบตาคนพูด อาการขวยเขินก็เด่นชัด เขาเห็นเต็มสองตา เธอเองก็รู้อยู่เต็มอก แต่ครั้นจะยอมรับตรงๆ ว่า ‘ใช่ค่ะ เขินค่ะ’ มันก็กระไรอยู่
“ครับ ไม่เขินเนอะ” แค่หน้าแดงเป็นลูกเชอร์รี่เท่านั้น “งั้นก็เช็ดให้พี่หน่อยสิครับ”
ดวงตาคมแพรวพราว ส่วนมุมปากก็ขยับยิ้มเจ้าเล่ห์ มันเป็นการท้าทายที่งี่เง่า กระนั้นเธอก็เต็มใจตกลงไปในหลุมพราง มือบางดึงทิชชู่จากห่อพลางเขยิบเข้าไปใกล้เพื่อเช็ดคราบบนผิวเนื้อได้สะดวก
แรงที่ลากถูบนแผ่นอกแผ่วเบาราวกับโดนขนนกปัดป้าย เธอกลัวเขาระคายผิว หรือเพราะไม่อยากสัมผัสโดนตัวไปมากกว่านี้ ยิ่งคิดยิ่งสงสัยก็ยิ่งอยากยั่ว ธนนท์ขยับตัวเข้าไปใกล้ ระยะห่างระหว่างกันเหลือเพียงน้อยนิดจนปลายจมูกสัมผัสโดนแก้มนวล กลิ่นแป้งเด็กเคล้ากลิ่นดอกไม้กระทบฆานประสาท พวงชมพูตกใจขยับหนี แต่มือหนาตวัดคว้าเอวคอดกิ่วไว้