“จอดตรงนี้แหละค่ะ” หญิงสาวบอกเมื่อแพทย์หนุ่มขับรถเข้ามายังที่จอดรถของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือโรงพยาบาลวรกุลอินเตอร์เนชันนอล แพทย์หนุ่มลอบยิ้มอย่างพึงใจ
เมื่อรถจอดสนิท หญิงสาวจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออก ใบหน้าเรียวสวยหันไปขอบคุณชายหนุ่มที่อุตส่าห์มีน้ำใจมาส่งเธอ
“ขอบคุณนะคะที่มาส่งคุณ…”
“เท็นครับ ผมชื่อเท็น” แพทย์หนุ่มหันมาตอบพร้อมส่งยิ้มบางๆ ไปให้
“ค่ะคุณเท็น ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ” เธอเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ใบหน้าเรียวสวยส่งยิ้มบางๆ ให้เขาเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
แต่ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เปิดประตูลงจากรถ แพทย์หนุ่มก็เรียกเธอเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนครับ”
“คะ?”
“พอจะบอกชื่อของคุณให้ผมรู้ได้ไหม เผื่อบังเอิญเรา...ได้เจอกันอีก”
“ภวิกาค่ะ เรียกแยมเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆ ยามที่ตอบกลับไป
“ครับคุณแยม” สหทรรศยิ้มในหน้า
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะคะ”
“ครับ”
เมื่อแพทย์หนุ่มพยักหน้าเชิงอนุญาต หญิงสาวจึงลงจากรถ สหทรรศยังไม่กลับในทันที ตาคูคมมองตามจนร่างแบบบางลับสายตา จึงค่อยๆ เคลื่อนรถยนต์คันหรูออกมา ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่ที่มุมปาก ราวกับกำลังพึงพอใจอะไรบางอย่าง
“นี่หมอเท็นมันไปเข้าห้องน้ำเฉยๆ หรือแอบไปนอนในห้องน้ำกันแน่” วีรภัทรหันไปบ่นกับวินธัย หลังจากที่รู้สึกว่าสหทรรศหายไปนานพอควร รอแล้วรอเล่าสหทรรศก็ยังไม่โผล่
วินธัยขยับแว่นสายตาเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองหาสหทรรศ ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นร่างสูงที่พยายามมองหาอยู่ในระยะสายตา
“โน่นไงครับ หมอเท็นมาพอดี” วินธัยพยักเพยิดหน้าให้วีรภัทรมองไปทางที่สหทรรศกำลังก้าวเข้ามา
สหทรรศทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวเดิม ก่อนจะหรี่ตามองเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังจ้องมองเขาคล้ายกำลังจับผิด
“มีอะไรกันรึเปล่า” สหทรรศถามเสียงห้วน
“นายหายไปไหนมา” วีรภัทรถามเสียงเข้ม ก่อนจะจ้องหน้าเพื่อนอย่างต้องการคำตอบ
“ก็…ไปเข้าห้องน้ำมาไง” สหทรรศเลี่ยงที่จะบอกความจริง เขาเฉไฉโดยการเอื้อมไปหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาจิบเพื่อกลบเกลื่อน
“เข้าห้องน้ำ เข้าห้องน้ำเป็นชั่วโมงเนี่ยนะ” วีรภัทรโวยวาย ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องที่สหทรรศ ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีว่าสายตาของวีรภัทรบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเอ่ยออกไป ส่วนวินธัยทำเพียงมองเพื่อนทั้งสองคนที่ตอบโต้กันไปมา ก่อนจะหยิบเครื่องดื่มขึ้นมาจิบบ้าง
“จะมาจับผิดฉันทำไมเนี่ย จะดื่มต่อไหม ถ้าไม่ ฉันจะได้กลับ” สหทรรศเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่รู้ว่าไอ้เพื่อนบ้าจะมาจับผิดอะไรเขาหนักหนา
“หึ!” วีรภัทรทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะเอ่ยต่อ “ครั้งนี้ฉันยอมก่อนก็ได้ แต่อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน” วีรภัทรบอกอย่างคาดโทษ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สหทรรศรู้สึกกลัวขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว เพราะเจ้าตัวไหวไหล่ใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยี่หระ
วีรภัทรทำท่าฮึดฮัดขัดใจที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเกรงกลัวคำขู่ของตน จึงแก้เก้อโดยการยกเครื่องดื่มที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมากระดกรวดเดียวหมดอย่างย้อมใจ วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะกระจกอย่างกระแทกกระทั้น
สหทรรศหันมาสบตากับวินธัยอย่างรู้กัน ก่อนจะยิ้มขำกับท่าทางของวีรภัทรที่ทำราวกับว่าเป็นเด็กเล็กที่ถูกขัดใจ จากนั้นเพื่อนสนิททั้งสามคนต่างก็พูดคุยหยอกล้อกันราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นมาก่อน แล้วแยกย้ายกันหลังจากถึงเวลาที่ไนต์คลับปิดให้บริการ
ร่างสูงนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องเริ่มขยับตัวเมื่อแสงแดดภายนอกส่องผ่านม่านหน้าต่างที่กำลังพลิ้วไหวเข้ามารบกวน เขาสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อขับไล่อาการมึนงง ก่อนจะค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน เมื่อคืนนี้แพทย์หนุ่มดื่มไปไม่น้อย นานๆ ดื่มทีเล่นเอาเสียศูนย์ไปเหมือนกัน ดีที่เมื่อคืนยังขับรถกลับมาบ้านได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อน สหทรรศลงมายืนข้างเตียง เมื่อทรงตัวได้ดีในระดับหนึ่ง เท้าหนาจึงก้าวเดิน จุดหมายปลายทางก็คือห้องน้ำ
เมื่อจัดการชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว ตาคู่คมเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังทรงกลมบอกเวลาเที่ยงตรง เขาจึงลงมาชั้นล่างของตัวบ้าน
“อ้าว...ตาเท็น มากินข้าวเร็วลูก” รตีกวักมือเรียกบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่กำลังเดินมาที่โต๊ะอาหาร
สหทรรศยิ้มให้มารดา ก่อนจะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ท่านและเอ่ยถามเมื่อไม่เห็นผู้เป็นบิดาอยู่ที่หัวโต๊ะอย่างที่ควรจะเป็น
“คุณพ่อไปไหนเหรอครับ”
“ไปโรงพยาบาลจ้ะ เห็นว่าจะเข้าไปดูความเรียบร้อย แล้วก็จะเข้าไปสั่งงานเสียหน่อย พรุ่งนี้ลูกต้องเข้าไปทำงานให้คุณพ่อแล้วนี่ คุณพ่อเลยต้องหาตัวช่วยให้ลูกนิดนึง เดี๋ยวคงมาบอกรายละเอียดให้ลูกได้รู้แหละจ้ะ”
“ครับ” แพทย์หนุ่มพยักหน้ารับ
“กินข้าวกันดีกว่าลูก” รตีบอกลูกชาย ก่อนจะเรียกสาวใช้มาตักข้าว “นิ่ม ตักข้าวได้เลยจ้ะ”
“ค่ะ คุณท่าน”