บทที่6-1

1666 คำ
ร้าน...บุฟเฟต์ โต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยมล้อมรอบโต๊ะสี่ตัว โต๊ะหลายตัวถูกจับจองจนแทบไม่เหลือโต๊ะว่าง และหนึ่งในนั้นก็คือสหทรรศและภวิกาที่จับจองโต๊ะตัวหนึ่งเอาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยการจราจรที่ค่อนข้างติดขัดในช่วงเย็นจึงทำให้ทั้งคู่มาถึงตลาดนัดเลียบด่วน รามอินทราในเวลาเกือบทุ่มตรง บริเวณโดยรอบเริ่มสว่างไสวไปด้วยแสงไฟสีส้มอ่อนที่ถูกเปิดจากร้านค้าแต่ละแห่ง บรรยากาศค่อนข้างครึกครื้นและเต็มไปด้วยผู้คนที่พร้อมใจกันมาอย่างแน่นขนัด ตลาดนัดแห่งนี้มีร้านอาหารหลากหลายรสชาติที่ดูจะถูกปากหลายต่อหลายคน แต่นอกเหนือจากนั้นยังมีสินค้ามากมายให้เลือกสรร อาทิเช่น เสื้อผ้าสไตล์ต่างๆ ของใช้ตกแต่งบ้าน ของใช้ในครัวเรือน กระเป๋า รองเท้า แม้กระทั่งสติ๊กเกอร์แทนรอยสักหรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่าสติ๊กเกอร์แทททูก็มีวางขายอยู่เกลื่อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะมีรอยสักเก๋ๆ แต่ทว่าไม่อยากเจ็บตัว และยังมีสินค้าอีกมากมายให้เลือกชมได้ตามใจชอบ “พี่เท็นมากินที่นี่บ่อยเหรอคะ” ภวิกาว่าขณะคีบปูอัดจากเตาปิ้งย่างที่เป็นแบบไฟฟ้าเข้าปาก เจ้าตัวเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย ดวงตากลมโตจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลาอย่างรอคอยคำตอบ “ไม่บ่อยหรอกครับ แต่ก็มาจนรู้ว่านอกจากร้านนี้แล้ว ยังมีร้านอื่นๆ ที่มีอาหารอร่อยๆ อยู่อีกเยอะเลย” คนพูดว่าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะคีบเนื้อย่างเข้าปากตัวเองบ้าง “ล้อแยมเล่นใช่ไหมคะ” ภวิกาแกล้งทำตาโตใส่เขา แล้วส่งค้อนวงเล็กไปให้ ก็ดูเขาสิ บอกเธอว่ามาไม่บ่อย แต่กลับรู้ว่าแถวๆ นี้ยังมีร้านอาหารอร่อยอีกหลายแห่ง ถ้ามาไม่บ่อยจะรู้ได้อย่างไรว่าร้านไหนอาหารรสชาติถูกปากบ้าง “ก็ไม่บ่อยนะครับ เมื่อก่อนสมัยที่พี่ว่างก็มากับเพื่อนวันเว้นวันเลยแหละ” สหทรรศว่ายิ้มๆ ก็เขาน่ะกำลังล้อเธอเล่นอย่างที่อีกฝ่ายบอกเอาไว้นั่นละ “อย่างนั้นเรียกว่าบ่อยมากค่ะ” “งั้นเหรอครับ” สหทรรศกลั้วหัวเราะในลำคอ ก่อนจะคีบเนื้อย่างใส่จานให้เธอ “มัวแต่ชวนคุยอยู่ได้กินเข้าไปได้แล้ว เนื้อจะไหม้หมดแล้วเห็นไหมนั่น” “หวา…จริงด้วยค่ะ” พอเห็นว่าเป็นอย่างที่ร่างสูงบอก ภวิกาก็รีบคีบเนื้อย่างเข้าปาก สหทรรศมองภาพนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะคีบเนื้อย่างเข้าปากตัวเองอีกครั้ง ทั้งคู่ยังคงกินไปคุยไป จนกระทั่ง… “หมอเท็น…” เสียงเรียกที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของสหทรรศทำให้ภวิกาเบี่ยงตัวไปมอง เธอเห็นคนกลุ่มหนึ่งมีผู้ชายหน้าตี๋ที่สวมแว่นสายตาและผู้หญิงอีกสามคนที่นั่งถัดจากโต๊ะของเธอไปสองตัวหันมองมาทางนี้ คนเรียกก็คือผู้ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มและอีกฝ่ายก็โบกไม้โบกมือมาทางโต๊ะเธอด้วย “พี่เท็นรู้จักพวกเขาหรือเปล่าคะ” “ครับ แยมรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่มา” “ค่ะ” เมื่อภวิกาเอ่ยปากเชิงอนุญาต สหทรรศจึงลุกออกไปจากโต๊ะ โดยที่คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หวังว่าภวิกาคงจะได้ยินไม่ถนัดนักตอนที่เพื่อนเรียกเขา เพราะอีกฝ่ายก็ดูเป็นปกติไม่ได้มีท่าทีสงสัยว่าทำไมเพื่อนถึงเรียกเขาว่าหมอเท็น เมื่อร่างสูงไปยังโต๊ะของคนรู้จักแล้ว คิ้วสวยของภวิกาก็ขมวดเข้าหากัน ใบหน้าหวานซึ้งแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ‘ทำไมคนรู้จักของพี่เท็นถึงได้เรียกพี่เท็นว่าหมอนะ’ สงสัยจะหูฝาดไปละมั้ง ก็เห็นๆ อยู่ว่าเขาทำงานในโรงพยาบาลวรกุลอินเตอร์เนชันนอลในตำแหน่งพนักงานเปล แพทย์ที่ไหนจะเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานเปลที่รายได้น้อยกว่าแพทย์หลายเท่าแบบนั้นกันล่ะ แต่ถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้หูฝาด แต่คนรู้จักเรียกเขาว่าหมอเท็นจริงๆ ล่ะ นั่นก็น่าจะเป็นเพราะ…คนรู้จักแกล้งเรียกเขาเล่นๆ กระมัง ภวิกาคิดได้แบบนั้นคิ้วเรียวสวยที่ขมวดเข้าหากันก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ คลายออก มีเยอะแยะไปที่บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในวงการแพทย์มักจะเรียกบุคลากรในโรงพยาบาลว่าหมอ และบ่อยครั้งที่พยาบาลอย่างเธอก็ถูกเรียกว่าคุณหมอเช่นกัน ทั้งที่จริงแล้วเธอไม่ใช่หมอแต่เป็นพยาบาลต่างหาก และคนในวงการแพทย์ต่างก็รู้ดีว่าคำว่าหมอเอาไว้เรียกคนที่เป็นแพทย์เท่านั้น ภวิกายังคงคีบอาหารตรงหน้าเข้าปากไปเรื่อยๆ ระหว่างรอสหทรรศ และบางครั้งสายตาของเธอก็เหลือบไปทางโต๊ะที่สหทรรศบอกว่าเป็นคนรู้จักอย่างไม่ตั้งใจ คนตัวสูงไม่ได้นั่งเก้าอี้ แต่เขายืนอยู่ข้างๆ โต๊ะนั้น ริมฝีปากหยักลึกกำลังขยับโต้ตอบกับคนในโต๊ะด้วยท่าทีเรียบเฉย และก็แน่นอนว่าเธอไม่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นเพราะระยะห่างระหว่างเธอกับโต๊ะนั้นก็ไกลพอสมควร แต่สิ่งที่ทำให้ภวิกาแปลกใจนั่นก็คือดวงตาของผู้หญิงผมสีน้ำตาลเข้มที่ยาวประบ่ามองมาทางเธอราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่ชั่วครู่ก่อนผู้หญิงคนนั้นจะเบนสายตากลับไปที่ร่างสูงของสหทรรศด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ภวิกาไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าคงแค่บังเอิญที่เจ้าตัวหันมาทางนี้เข้าพอดี อีกห้านาทีต่อจากนั้นร่างสูงก็กลับมาที่โต๊ะ สะโพกสอบหย่อนลงบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้วระบายยิ้มบางๆ “พี่ไม่อยู่แป๊บเดียว แยมจัดการเรียบเลยเหรอ” เสียงทุ้มว่าอย่างเย้าแหย่ แต่คนถูกกล่าวหาไม่ได้โกรธเคืองซ้ำยังยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน “นี่บุฟเฟต์นะคะ หัวละตั้งสองร้อยห้าสิบเก้าบาท เพราะฉะนั้นเราต้องจัดให้คุ้มค่ะ กระเพาะเหลือพื้นที่ว่างเท่าไหร่แยมก็ต้องจัดให้เต็ม ตอนนี้ของที่อยู่บนโต๊ะหมดแล้ว พี่เท็นอยากกินอะไรอีกไหม เดี๋ยวแยมไปตักให้” คนพูดทำท่าจะขยับตัวแต่สหทรรศปรามเอาไว้ “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่จัดการเอง” สหทรรศลุกขึ้นเต็มความสูง มือหนาข้างหนึ่งยื่นมาด้านหน้าแล้ววางลงบนศีรษะของเธอแล้วหยีผมนุ่มสลวยเบาๆ “พี่จะเอามาเผื่อแยมด้วยดูท่าคงยังไม่อิ่ม แต่กินเข้าไปเยอะๆ ก็ดีจะได้ตัวโตขึ้นอีกนิด เวลาถูกกอดกระดูกจะได้ไม่หัก” พูดจบร่างสูงก็เดินไปตักอาหารราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่คำพูดและการกระทำของเขาทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอเต้นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่รอมร่อ ทำไมเขาต้องมาห่วงเธอด้วยว่าเธอจะกระดูกหักถ้าเกิดถูกใครสักคนกอดเข้า ใครจะมากอดเธอล่ะ เธอยังไม่มีแฟนเสียหน่อย แต่สุดท้ายแล้วภวิกาก็ห้ามอาการหน้าแดงและใจเต้นแรงเอาไว้ไม่ได้ ที่เขาพูดออกมาราวกับว่าเขานั่นละที่จะเป็นคนกอดเธอ บ้าที่สุดเลย ภวิกาไม่ได้ต่อว่าคนตัวสูงในใจ แต่คนที่เธอต่อว่าก็คือตัวของเธอเองต่างหากที่ดูจะคิดฟุ้งซ่านมากจนเกินควร “มาแล้วครับ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ภวิการีบดึงตัวเองออกจากความคิดฟุ้งซ่าน เรียวปากที่เคลือบลิปกลอสสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มให้เขา สหทรรศวางอาหารในจานลงบนโต๊ะ ก่อนจะยื่นจานสับปะรดมาให้ร่างแบบบางที่นั่งอยู่ตรงหน้า และภวิกาก็รับมันเอาไว้ในมือ “สับปะรดมีเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร ซึ่งพี่ก็คิดว่าแยมคงจะรู้ดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นกินเข้าไปเถอะก่อนที่จะแน่นท้องจนหายใจไม่ไหว” สหทรรศคลี่ยิ้มบางๆ ยามที่คนตัวเล็กหยิบสับปะรดเล็กชิ้นเล็กเข้าปาก ผู้หญิงอะไรเลี้ยงง่ายจริงๆ “กินสิคะ มัวแต่ยิ้มอยู่ได้” ภวิกาบอกหลังจากที่จัดการสับปะรดชิ้นที่สามลงกระเพาะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่คนตรงหน้ามัวแต่ส่งยิ้มให้เธอ ไม่ใช่อะไรหรอก ก็รอยยิ้มของคนตัวสูงทำให้หัวใจของเธอไหววูบแทบจะทุกครั้งที่ได้เห็น เธอก็แค่อยากปกป้องหัวใจของตัวเองก็เท่านั้น “น่า...กิน จริงๆ ด้วย” สหทรรศพูดเสียงลากยาวจนภวิกาต้องมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความแปลกใจ “น่ากินก็กินสิค่ะ กินๆ” ภวิกาใช้ตะเกียบจิ้มไปที่เนื้อย่างที่อยู่บนเตา พลางคิดในใจไปด้วยว่าทำไมคนตัวสูงจึงจงใจพูดเสียงลากยาวแบบนั้นด้วย แต่เมื่อไม่ได้คำตอบ ภวิกาจึงเลือกที่จะปล่อยผ่าน เธอคงคิดมากเกินไปเอง “พี่กินได้จริงๆ เหรอ” “ได้สิคะ ก็พี่เท็นเป็นคนจ่ายตังค์นี่นา” “ให้กินจริงๆ นะ” “อื้อ ก็กินสิคะ กินเข้าไปเลย มัวแต่ถามอยู่ได้” สายตาคู่คมมองมาที่เธออย่างจงใจ เอาละ เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าคำว่ากินของเธอและคำว่ากินของเขาดูแล้วมันน่าจะคนละความหมายกัน เพราะฉะนั้นเธอต้องรีบหาทางขจัดความเคอะเขินที่กำลังก่อตัวในหัวใจของเธอเสียที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม