ภวิกาตัดสินใจคีบเนื้อย่างที่อยู่บนเตาแล้วส่งมันไปจ่อที่ริมฝีปากหยักลึกที่กำลังระบายยิ้มอย่างอารมณ์ดีจนเกินควร แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดปาก ริมฝีปากหยักขยับบอกเธอเบาๆ
“แยมครับ...มันร้อน”
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำเรื่องขายหน้า ภวิกาจึงลดมือแล้วทำท่าจะวางเนื้อย่างไว้บนเตาตามเดิม แต่เสียงทุ้มปรามเอาไว้เสียก่อน
“อยากกินชิ้นนั้น เป่าให้หน่อย ได้ไหมครับ”
โดนขอมาแบบนั้น จะให้ปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายจนเกินควร ภวิกาจึงยกเนื้อย่างชิ้นนั้นขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากบางของตัวเอง และเป่าเบาๆ สองสามครั้งจากนั้นจึงยื่นมันไปจ่อที่ริมฝีปากหยักลึกของคนตรงหน้า ครั้งนี้อีกฝ่ายยอมเปิดปากและรับเอาเนื้อย่างชิ้นนั้นเข้าไปแต่โดยดี
“อร่อย” สหทรรศว่าพลางเคี้ยวไปด้วย เมื่อกลืนเนื้อลงคอจนหมดเขาจึงพูดออกมาอีกประโยค “ตั้งแต่กินเนื้อย่างมา ชิ้นนี้ อร่อยที่สุด”
เนื้อหาไม่ได้กล่าวถึงภวิกาเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าแววตาที่มองมาอย่างมีความหมายกลับทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นรัวแรงครั้งแล้วครั้งเล่า จนภวิกาต้องรีบกลบเกลื่อน
“กินชิ้นอื่นด้วยค่ะ มันจะไหม้หมดแล้ว”
อาการที่กินไป พูดคุยและหัวเราะกันไปของคนทั้งคู่อยู่ในสายตาของเจลกา แพทย์สาวที่นั่งโต๊ะกลุ่มเพื่อนของสหทรรศ เจลกาคือผู้หญิงผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าที่มองภวิกาก่อนหน้านี้ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร และตอนนี้อาการของแพทย์สาวก็ชัดเจนจนเพื่อนร่วมโต๊ะสงสัย
“หมอเจล เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้ามุ่ยแบบนั้นล่ะ” ชนมนหรือหมอมน เป็นแพทย์ที่อยู่โรงพยาบาลเดียวกับเจลกาถามเพื่อนอย่างใคร่รู้
“นั่นน่ะสิ ฉันเห็นเธอเอาแต่มองไปทางโต๊ะของหมอเท็น แล้วก็เอาแต่ทำหน้ามุ่ย เนื้อย่างก็กินเข้าไปไม่กี่ชิ้นเองนะ” ธาวินีหรือหมอวิ ซึ่งเป็นแพทย์เช่นเดียวกันเอ่ยสนับสนุนคำพูดของชนมน
“แต่ผมรู้ครับ” ชวิศหรือหมอวิศ คือแพทย์หนุ่มหน้าตี๋ที่สวมแว่นสายตาและเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มเอ่ยขึ้น เขายืดอกขึ้นนิดๆ อย่างผู้รอบรู้
“รู้ว่า...” ชนมนและธาวินีถามขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ส่วนเจลกานั้นยังคงหน้ามุ่ยเช่นเดิม ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เพื่อนร่วมโต๊ะกำลังกล่าวถึง นั่นก็คือตัวเธอเอง
“หมอเจลไม่พอใจที่หมอเท็นควงสาวมากินเนื้อย่างสองต่อสองไงล่ะครับ ขนาดผมนี่ยังแอบแปลกใจเลย ปกติแล้วหมอเท็นไม่เคยควงสาวๆ เลยด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ผมจะเห็นหมอเท็นไปไหนมาไหนกับหมอภัทรและหมอวินซะมากกว่า จนบางทีผมนี่แอบคิดอกุศลเลยนะครับว่าสามคนนั่นเขา...” ชวิศแสร้งเว้นจังหวะเพื่อกระตุ้นให้ผู้ร่วมสนทนาอยากรู้ ซึ่งมันก็ได้ผล
“เขาทำไม บอกมาเร็วๆ เลย” เป็นชนมนที่กระตุ้นด้วยความอยากรู้ ส่วนธาวินีก็พยักหน้าว่าอยากรู้เช่นกัน ส่วนเจลกาจากเดิมที่มีทีท่าว่าไม่สนใจก็หันมาตั้งใจฟังด้วย
“พวกเขาเป็นคู่รักกันน่ะสิ แบบว่าเราสามคน...รักกันไงครับ”
“ไร้สาระ” สามสาวพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนต่างก็ทำเมื่อยอย่างไม่สบอารมณ์ ชวิศทำเพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบต้นคอเบาๆ แก้เก้อ เรื่องที่เขาพูดไม่เห็นจะไร้สาระตรงไหนเลย ก็สามคนนั่นชอบไปไหนมาไหนด้วยกันจนเขาต้องคิดแบบนั้นนี่นา
หลังที่คุยกันจบชนมน ธาวินีและชวิศก็หันไปสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า มีเพียงเจลกาเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองไปที่โต๊ะของสหทรรศอย่างไม่วางตา
ภวิการู้สึกแปลกๆ ราวกับมีใครจ้องมองตลอดเวลา และมันก็เป็นจริงอย่างนั้นเมื่อเธอมองไปทางด้านหลังของคนตัวสูง เห็นผู้หญิงคนเดิมที่จ้องมองมาอย่างไม่พอใจกำลังมองมาที่เธอ ทว่าเธอกับผู้หญิงคนนั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บางทีอีกฝ่ายอาจจะมีอะไรที่ต้องคุยกับคนตัวสูงที่อยู่ตรงหน้าเธออีกก็ได้
“พี่เท็นคะ เพื่อนพี่เท็นมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่เท็นอีกหรือเปล่าคะ แยมเห็นเธอมองมาทางนี้ตลอดเลยค่ะ คนผมสีน้ำตาลเข้มที่ยาวประบ่าน่ะค่ะ” ภวิกาพยักเพยิดหน้าไปทางด้านหลัง แต่ทว่าคนตัวสูงไม่แม้แต่จะมองตามเธอไปด้วยซ้ำ
“พี่ไม่มีอะไรจะคุยกับเธอแล้วครับ แล้วนี่อิ่มแล้วใช่ไหม ถึงได้มีเวลามองนั่นมองนี่” สหทรรศแสร้งว่าอย่างไม่จริงจังนัก
“แฮะๆ อิ่มแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นเจ้ามือ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่ไปจ่ายตังค์ก่อน รอแป๊บนึงนะ”
“ค่ะ” ภวิกาพยักหน้ารับ สหทรรศจึงลุกไปจัดการชำระเงิน เพียงไม่นานเขาก็เดินกลับมาหาเธอ
“ไปกันเถอะ”
จบคำของร่างสูง ร่างแบบบางของภวิกาก็ลุกขึ้น แต่ก่อนที่เท้าเล็กจะทันได้ขยับ เสียงทุ้มนุ่มหูก็ดังขึ้น
“กระเป๋าเป้ของแยมน่ารักดี พี่ขอลองสะพายดูหน่อยได้ไหม”
ภวิกาเหลือบตาขึ้นมองเขาด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วผู้ชายส่วนใหญ่จะไม่ชอบสะพายกระเป๋าเป้แบบผู้หญิงนักหรอก ถ้าไม่ใช่คู่รักที่มักจะถือกระเป๋าให้กัน ผู้ชายที่อยากสะพายกระเป๋าผู้หญิงแบบนั้นก็น่าจะเป็น…
ไม่ใช่ๆ เมื่อสักครู่คนตัวสูงยังพูดจาหยอกเย้าให้ผู้หญิงอย่างเธอต้องใจสั่นอยู่เลย
ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่
ภวิกาย้ำซ้ำๆ กับตัวเอง ร่างแบบบางสะบัดศีรษะน้อยๆ เพื่อขับไล่ความคิดฟุ้งซ่าน แต่วูบหนึ่งก็อดที่จะคิดไม่ได้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาที่ดูสะอาดสะอ้านหลายคนที่เธอรู้จักก็มักจะ…
‘ไม่เอานะพี่เท็น ไม่แอ๊บนะ ไม่เอาแบบนั้น แยมไม่อยากมีเพื่อนสาว’
ภวิกามัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง มือเล็กเผลอกอดกระเป๋าเป้ใบเล็กของตัวเองเอาไว้แน่น จนสหทรรศต้องร้องถามอีกครั้ง
“ได้รึเปล่าครับ”
“อ๋อ…ดะ…ได้ค่ะ” ภวิกาส่งกระเป๋าเป้สีหวานให้คนตัวสูงที่หงายมือรอรับอยู่ก่อนแล้ว เมื่อกระเป๋าใบนั้นถูกวางลงบนฝ่ามือใหญ่ ร่างสูงจึงสอดแขนเข้าไปในสายสะพายกระเป๋าแต่ละข้างแล้วปล่อยห้อยไว้ด้านหน้า จากนั้นร่างสูงก็ดุนแผ่นหลังของคนตัวเล็กกว่าให้เดินไปข้างหน้าเบาๆ โดยที่เขาเดินตามเธอไปติดๆ
“ดูโน่นสิหมอมน หมอเท็นน่ะสะพายกระเป๋าให้ผู้หญิงคนนั้นด้วย ฉันว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน” ธาวินีว่าพลางคีบปูอัดเข้าปาก โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างของสหทรรศและภวิกา
“เห็นด้วย ตั้งแต่รู้จักกันมา ฉันไม่เคยเห็นหมอเท็นทำอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย ถือกระเป๋าสะพายให้ผู้หญิงแบบนั้น ดูยังไงก็ไม่ใช่หมอเท็นในแบบที่พวกเรารู้จักเลยสักนิด” ชนมนเสริมอย่างเห็นด้วย
“ผมว่าคนนี้ตัวจริงชัวร์” ชวิศให้ความเห็นบ้าง
ส่วนเจลกานั้นได้แต่จ้องมองไปที่ทั้งคู่ด้วยแววตาขุ่นเคือง มือเล็กข้างหนึ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้โต๊ะกำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ลมหายใจก็ดูกระชั้นถี่ราวกับคนที่เก็บอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้แทบไม่ไหว แต่สุดท้ายเธอก็ข่มอาการเหล่านั้นเอาไว้ได้ ลมหายใจของเธอเริ่มกลับมาเป็นปกติ มือเล็กที่เคยกำเข้าหากันแน่นก็ค่อยๆ คลายออกจากกัน คิ้วสวยขมวดเข้าหากันนิดๆ อย่างคนที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง