เปลี่ยนใจ
ปรัชญ์หันหลังกลับไปมองเมื่อเดินเข้ามาถึงกลางห้อง แล้วรู้สึกว่าไม่มีใครเดินตามเข้ามา แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริง ๆ เพราะตอนนี้เธอหยุดยืนอยู่หน้าห้อง ที่เขาเปิดประตูทิ้งเอาไว้เพื่อรอให้เธอเดินตามเข้ามา
เธอก็ไม่เข้าใจเขาเลยจริง ๆ สถานที่นัดเจอมีตั้งมากมาย ทำไมต้องนัดให้เธอมาคุยในที่ส่วนตัวแบบนี้ด้วย
"ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า เข้ามาเถอะครับ" ปรัชญ์บอกพร้อมกับวางกระเป๋าของกานต์พิชชาที่เขาแย่งมาถือตั้งแต่อยู่ข้างล่างลงบนโซฟา "คุณไม่ต้องกลัวผมหรอก ฝึกไว้จะได้ชิน เพราะอีกหน่อยเราก็จำได้อยู่ด้วยกันแบบนี้แหละ"
"ทำไมคุณถึงนัดฉันมาเจอที่นี่คะ" หญิงสาวยังไม่ไว้ใจ ถึงแม้เขาจะบอกว่าจะไม่ทำอะไร และถึงแม้ว่าลึก ๆ แล้วเธอจะเชื่อมั่นว่าเขามีความเป็นสุภาพบุรุษ แต่อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย ไว้ใจไม่ได้อยู่ดี
"ก็คุณบอกว่าอยากได้ความเป็นส่วนตัวไม่ใช่เหรอ แล้วเพนท์เฮาส์ของผมมันไม่เป็นส่วนตัวตรงไหน"
ก็เพราะมันส่วนตัวมากเกินไปน่ะสิ!
เมื่อเห็นว่าเธอยังไม่ยอมเดินเข้ามา ปรัชญ์จึงเดินย้อนกลับไปหา แล้วจัดการจูงเธอเดินเข้ามา หญิงสาวขืนตัวไว้เล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็ยอมเดินตามเขาเข้ามาในห้องแต่โดยดี เพราะลองมานึก ๆ ดูแล้วมันก็จริงอย่างที่เขาว่า อีกหน่อยหากเธอกับเขาตกลงแต่งงานกัน ก็คงต้องได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ นั่นแหละ
คนตัวโตจูงมือหญิงสาวมานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก เขาให้เธอนั่งโซฟาตัวยาว ส่วนเขาขยับไปนั่งอีกตัว รักษาระยะห่างเล็กน้อย เพื่อให้เธอไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป
"จะให้ผมถามคุณก่อนหรือคุณจะถามผมก่อน" เขาเริ่มถามเข้าประเด็นทันทีเพราะไม่อยากให้เสียเวลา
"คุณถามก่อนก็ได้ค่ะ"
ปรัชญ์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มถามทันที "ทำไมอยู่ ๆ คุณถึงเปลี่ยนใจ" เขาถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย เพราะเมื่อคืนนี้เธอปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาดและหนักแน่น ในแววตาไม่มีความลังเลเลยสักนิด แต่พอผ่านไปยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ เธอกลับติดต่อเขากลับมา และบอกเขาว่าเธอเปลี่ยนใจรับข้อเสนอของเขา ถึงแม้จะรู้สึกพอใจที่เธอเปลี่ยนใจ แต่เขาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าเธอมีเหตุผลอะไร
"เมื่อเช้าฉันกลับบ้าน แล้วฉันทะเลาะกับแม่ค่ะ ท่านจะให้ฉันแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น..."
"แฟนเก่าคุณ ?" ปรัชญ์ถามแทรกขึ้นมา กานต์พิชชาจึงพยักหน้าตอบว่าใช่ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
"ทางนั้นมาสู่ขอฉันกับแม่ แล้วแม่ก็ตอบตกลงโดยที่ไม่ถามความเห็นของฉันสักคำ ฉันไม่ชอบที่แม่ทำ ไม่ชอบที่ท่านไม่เคยเข้าใจ และไม่เคยรับฟังเหตุผลของฉันเลย ฉันไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นค่ะ ฉันเลยคิดว่า..."
"คุณก็เลยคิดว่ายอมแต่งกับผมดีกว่า ?" ปรัชญ์เลิกคิ้วถาม
"ใช่ค่ะ" กานต์พิชชาพยักหน้าตอบ เธอยอมรับอย่างไม่คิดปิดบัง ถึงแม้เธอจะเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่ถึงวัน และถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของเขาดี แต่ความรู้สึกลึก ๆ ของเธอมันบอกว่า...ยอมแต่งกับเขา น่าจะดีกว่าต้องแต่งกับแฟนเก่าอย่างขจรศักดิ์เป็นไหน ๆ
"งั้นคุณก็คิดถูกแล้วล่ะ" ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ถ่อมตน จากที่เขาเห็นไอ้หมอนั่นเมื่อคืนนี้ เขามั่นใจว่าเขาดีกว่ามันอย่างแน่นอน "ผมหมดคำถามแล้ว ทีนี้ก็ตาคุณถามบ้าง"
กานต์พิชชาทำหน้างง "คุณมีเรื่องจะถามฉันแค่นี้เองเหรอคะ ?"
"ครับ" เขาพยักหน้ายืนยัน ที่เขาอยากรู้ก็มีเพียงแค่เรื่องนี้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ เขาสามารถหาข้อมูลเองได้ หญิงสาวพยักหน้ารับงง ๆ ก่อนจะเริ่มถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย
"คุณยังไม่มีแฟนใช่ไหมคะ ?" เป็นเรื่องที่เธอคิดว่าสำคัญ เธออยากมั่นใจว่าเธอไม่ได้กำลังจะเข้าไปเป็นมือที่สามของใคร
"ไม่มีครับ ผมโสด" เขามองหน้าเธอแล้วตอบอย่างหนักแน่น ก่อนจะพูดต่อขำ ๆ "ถ้าผมมีแฟน ผมก็ต้องเลือกแต่งงานกับแฟนผมสิ"
นั่นสิ ถามอะไรโง่ ๆ อีกแล้วนะยายกานต์!
"งั้นคำถามต่อไปเลยนะคะ" ปรัชญ์พยักหน้า กานต์พิชชาจึงเริ่มถามต่อทันที "เรื่องงานของคุณ คุณช่วยยืนยันให้ฉันมั่นใจหน่อยได้ไหมคะว่าคุณไม่ได้ทำธุรกิจผิดกฎหมายจริง ๆ"
อันที่จริงเมื่อคืนนี้ เธอลองค้นหาประวัติเขาจากอินเทอร์เน็ตดูแล้ว ในนั้นบอกว่าเขาเป็นเจ้าของโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายบรั่นดียี่ห้อดังติดอันดับหนึ่งในสามของประเทศ มีรูปและประวัติของเขาอัปเดตไว้อย่างชัดเจน
แต่เธอคิดว่าข้อมูลที่อยู่ในนั้นมันอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เขาอาจจะมีอีกส่วนที่ไม่สามารถเปิดเผยสู่สาธารณะได้ก็ได้ ใครจะไปรู้ เพราะถ้าเขาเป็นเพียงแค่นักธุรกิจธรรมดา ๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องมีลูกน้องตามประกบมากมายขนาดนั้นก็ได้นี่นา นี่ถ้าบอกว่าเป็นเจ้าของบ่อนการพนันหรือเป็นเจ้าหนี้นอกระบบยังน่าเชื่อถือมากกว่าอีก
"ผมเดาว่าคุณคงหาข้อมูลของผมมาบ้างแล้ว" ปรัชญ์เอ่ยขึ้นนิ่ง ๆ เพราะเข้าใจความรู้สึกของเธอดี ตอนนี้เธอคงไม่ไว้ใจเขา
"ใช่ค่ะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามีอย่างอื่นที่นอกเหนือจากที่ฉันรู้มาหรือเปล่า"
"ไม่มีครับ" ชายหนุ่มยืนยันเสียงหนักแน่น "นอกจากที่คุณรู้ ผมก็มีแค่หุ้นที่ผมซื้อเก็บไว้บ้าง ส่วนที่ผิดกฎหมายผมยืนยันว่าผมไม่มีจริง ๆ"
กานต์พิชชาจ้องตาเขากลับ เมื่อเห็นว่าเขายืนยันอย่างหนักแน่นและไม่หลบตาไปไหน เธอจึงพยักหน้ายอมเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด "โอเคค่ะ ฉันเชื่อคุณ"
"ผมขออนุญาตอธิบายต่ออีกนิดแล้วกัน ผมคิดว่าคุณคงคาใจกับเหตุการณ์เมื่อคืน คุณคงสงสัยว่าทำไมผมถึงต้องมีลูกน้องมากมายขนาดนั้น...ใช่ไหมครับ ?"
"ใช่ค่ะ" กานต์พิชชายอมรับว่ายังสงสัยเรื่องนั้น เพราะมันเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เธอเคลือบแคลงใจว่าเขาอาจจะทำธุรกิจผิดกฎหมาย หากได้รับการอธิบายจากเขา ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย
"คืออย่างนี้ครับ ธุรกิจของผมมันไม่ได้ผิดกฎหมายก็จริง แต่ในโลกของความเป็นจริงการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มันเป็นของมึนเมา ถูกจัดให้อยู่ในประเภทคล้าย ๆ สารเสพติดชนิดหนึ่ง เพียงแค่มันเป็นสินค้าที่ถูกยกระดับขึ้นมา โดยจ่ายภาษีให้กรมสรรพสามิตและอนุญาตให้จำหน่ายได้ตามร้านค้าทั่วไป และแน่นอนว่าผมต้องมีคู่แข่ง"
"ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอคะ การทำธุรกิจก็ต้องมีคู่แข่งอยู่แล้ว" อย่างเธอทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เธอก็มีคู่แข่งเช่นกัน
"ใช่ครับ มันเป็นเรื่องปกติ แต่เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ในโลกของเรามันจะมีธุรกิจอยู่สามสี คือสีขาว สีดำ และสีเทา อย่างธุรกิจเครื่องสำอางของคุณ นั่นจัดเป็นธุรกิจสีขาว ส่วนของผมก็จะเป็นสีเทาครับ"
"อ้าว ไหนคุณบอกว่าถูกกฎหมายไงคะ แล้วจะเป็นสีเทาได้ยังไง" หญิงสาวขมวดคิ้วสงสัย ก็ตอนแรกเขาบอกว่าเป็นธุรกิจถูกกฎหมายไง ทำไมตอนนี้มาบอกว่าเป็นธุรกิจสีเทาล่ะ หรือเธอเข้าใจอะไรผิดไป ?
"ยืนยันว่าจดทะเบียนถูกต้องกฎหมายแน่นอนครับ แต่ที่บอกว่าเป็นสีเทาก็เพราะว่าสินค้าของผมเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หากใช้มันในปริมาณที่เยอะ ๆ มันก็จะเกิดผลเสียอย่างที่คุณเห็นตามข่าวบ่อย ๆ นั่นแหละครับ" ชายหนุ่มยังคงอธิบายอย่างใจเย็น "ส่วนเรื่องลูกน้องที่ต้องมีไว้ก็เพราะว่ามีคนบางกลุ่มที่คิดจะเล่นไม่ซื่อกับผม จ้องจะลอบกัดผมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมก็บอกไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่ผมมีไว้เพื่อความสบายใจและไม่ประมาทครับ"
"ไม่ได้เป็นพวกมาเฟียอะไรพวกนั้นใช่ไหมคะ" เธอถามย้ำ
ปรัชญ์หัวเราะนิดหน่อยพลางส่ายหน้าเบา ๆ "ไม่ครับ ไม่ใช่มาเฟียแน่นอน"
ได้ยินแบบนั้นเธอก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อย ๆ ตอนนี้เธอก็มั่นใจขึ้นมาแล้วว่าเธอไม่ได้กำลังจะเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย ยิ่งเป็นคนที่เธอกำลังจะตกลงแต่งงานด้วยแล้ว เธอยิ่งต้องดูให้ดี ๆ ดูให้มั่นใจ
"ค่ะ ถ้าคุณยืนยันมาแบบนั้นฉันก็สบายใจ"
"แล้วมีคำถามอื่นอีกไหมครับ ถามมาได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ"
"การแต่งงานของเราจะมีกำหนดระยะเวลาไหมคะ เช่นครบสามเดือน หกเดือน หรือหนึ่งปีแล้วต้องหย่า"
"คุณคิดว่าไงครับ เรื่องนี้ผมไม่รีบ ผมยังไงก็ได้" ปรัชญ์บอกอย่างง่าย ๆ เพราะเขาไม่ได้ซีเรียสเรื่องระยะเวลาอะไรพวกนี้อยู่แล้ว อีกอย่างเขาไม่มีแฟน ไม่มีพันธะอะไร จึงไม่จำเป็นต้องรีบหย่าก็ได้ แต่ถ้าเธออยากได้เวลาที่แน่ชัดเขาก็ไม่ขัด
"จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้รีบเหมือนกัน" ถ้าให้กำหนดเวลาให้แน่ชัดตอนนี้ เธอเองก็กำหนดไม่ได้ เพราะเธอไม่รู้ว่าพอครบเวลาตามที่กำหนดแล้ว เธอจะจัดการเรื่องมารดาได้หรือยัง แล้วมารดาเธอจะยอมล้มเลิกเรื่องขจรศักดิ์ไปหรือยัง ก็ยังไม่แน่ใจ
หญิงสาวกลัวว่าหากเธอหย่ากับปรัชญ์ไปแล้ว มารดาเธออาจจะยัดเยียดให้เธอแต่งงานกับขจรศักดิ์อีกก็เป็นได้ ซึ่งเธอไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น
"ถ้าอย่างนั้นผมว่าเรื่อย ๆ ก็ได้นะครับ"
"แล้วถ้าเราเข้ากันไม่ได้ล่ะคะ เช่นพวกนิสัยอะไรแบบนั้นน่ะค่ะ" เป็นอีกเรื่องที่เธอกังวล เพราะตอนที่คบกับขจรศักดิ์ เรื่องนิสัยที่เข้ากันไม่ได้นั้นเป็นปัญหาหลัก ๆ ของเธอเลยก็ว่าได้
"เรื่องนิสัยผมว่าปล่อยให้เป็นเรื่องขออนาคตเถอะครับ ถ้าเข้ากันไม่ได้จริง ๆ เราค่อยมาตกลงกันอีกที เพราะเราคงไม่มีเวลามาเรียนรู้นิสัยกันแล้ว"
กานต์พิชชาพยักหน้าเห็นด้วย และเท่าที่เธอสังเกตเขามาสักพัก เขาเป็นคนง่าย ๆ ดูไม่ยุ่งยากอะไร ถ้าเขาเป็นแบบนี้ไปตลอด เธอคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าห่วง
"ค่ะ เอาตามที่คุณว่าก็ได้"
จากนั้นเธอก็ถามเขาต่ออีกประมาณสองสามคำถาม คุยกันอยู่สักพัก ก็เปลี่ยนมาคุยถึงเรื่องที่จะต้องเข้าหาผู้ใหญ่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจอยู่พอสมควร เพราะผู้ใหญ่ของทั้งเขาและเธอ ต่างมีคนที่ถูกใจเล็งไว้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการจะพา ‘คนอื่น’ ที่ไม่ใช่คนที่ผู้ใหญ่เล็งไว้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไร
แต่มันคงไม่เกินความสามารถของผู้ชายที่ชื่อ...ปรัชญ์