ตอนที่ 3
เปลี่ยนใจ
ท่ามกลางเครื่องจักรและพนักงานที่กำลังแข่งกันทำงานอย่างแข็งขันในโรงงานผลิตบรั่นดียี่ห้อดังติดท็อปสามของประเทศ ปรัชญ์ดึงมือข้างหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงสแล็กส์เนื้อดี แล้วหยิบบรั่นดีที่ถูกบรรจุลงขวดเรียบร้อยแล้วขึ้นมาหนึ่งขวด เขาพลิกหมุนและมองมันอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับลูกน้องที่คอยเดินตามอยู่ข้างหลัง
"ขอแก้วหน่อย" บอกพร้อมเปิดฝาขวดบรั่นดีที่ถืออยู่ แล้วยื่นมือออกไปรับแก้วมาจากลูกน้อง จากนั้นชายหนุ่มก็เทบรั่นดีลงไปในแก้วเล็กน้อย ก่อนจะยกขึ้นจิบเพื่อลิ้มชิมรสชาติ เช็กคุณภาพก่อนสินค้าจะออกจากโรงงานผลิต
อันที่จริงสินค้าของเขาทุกขวดนั้นล้วนผ่านการ QC มาแล้วหลายขั้นตอน แต่เพื่อความสบายใจของซีอีโออย่างเขา ปรัชญ์จึงมักจะลงมาสุ่มเช็กคุณภาพเองอยู่บ่อยครั้ง เพื่อให้สินค้าอยู่ในมาตรฐานและเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด
"ผ่านไหมครับ" ลูกน้องคนเดิมถามพร้อมกับรับขวดบรั่นดีและแก้วเปล่าคืนมาจากซีอีโอหนุ่ม
"ผ่าน ลองชิมกันดูสิ" เขาบอกพร้อมกวาดสายตามองลังบรรจุขวดบรั่นดีที่มีมากกว่าหมื่นลังตรงหน้า หันไปสอบถามเรื่องการขนส่งกับลูกน้องได้เพียงสองสามประโยคก็ต้องหยุด เนื่องจากเกริกไกร...ลูกน้องที่เปรียบเสมือนมือขวาของเขาเดินเข้ามาหาพร้อมกับยื่นสมาร์ตโฟนส่วนตัวให้เจ้านายหนุ่ม
"มีสายเข้าครับ"
"ใคร"
"ไม่ทราบครับ เป็นเบอร์แปลก"
ปรัชญ์รับสมาร์ตโฟนที่เขาวางทิ้งไว้ในห้องทำงานมาจากลูกน้องคนสนิท ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองเบอร์แปลกที่สายถูกตัดไปแล้วครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจโทร. กลับไป เพราะมีไม่กี่คนหรอกที่จะติดต่อเขาผ่านเบอร์ส่วนตัวนี้ ทว่าสายนี้เขากลับไม่แน่ใจว่าเป็นใคร ชายหนุ่มรอสายเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ
"ใครครับ ?" เขาถามทันทีที่สัญญาณถูกเชื่อมต่อ พร้อมกับเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มลูกน้อง แล้วเดินมุ่งไปยังห้องทำงานของตนเอง
[เอ่อ...] ปลายสายส่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อย ทำให้คนที่กำลังเดินขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ถึงแม้เสียงที่ดังออกมาจะเบามาก แต่เขามั่นใจว่ามันคือเสียงของผู้หญิง ใครกัน ?
จำได้ว่าเขาไม่เคยให้เบอร์ส่วนตัวของเขากับผู้หญิงคนไหนเลย จึงทำให้เขารู้สึกสงสัยเมื่อคนที่โทร. เข้ามาคือผู้หญิง
"ฮัลโหล ไม่ทราบว่าใครกำลังพูดสายอยู่ครับ" ชายหนุ่มถามอีกครั้ง พร้อมผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานของตน ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อปลายสายยังคงเงียบ "ถ้าไม่พูด ผมขออนุญาตวางนะครับ"
[ดะ...เดี๋ยวก่อนค่ะ อย่าเพิ่งวางนะคะ] กานต์พิชชารีบโพล่งขึ้นมาทันทีที่เขาบอกจะวางสาย
เสียงของปลายสายทำให้ชายหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากันมากกว่าเดิม เขารู้สึกคุ้นเสียงของคนในสายเป็นอย่างมาก แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใครหรือเคยได้ยินที่ไหน
"ครับ มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ"
[คุณคือคุณปรัชญ์...ใช่ไหมคะ]
"ครับ ผมปรัชญ์พูดสายอยู่ครับ แล้วคุณ..."
[ฉันกานต์ค่ะ กานต์พิชชา]
ชื่อของเธอไม่ทำให้ชายหนุ่มกระจ่างแต่อย่างใด เธอรู้จักเขา แต่เขากลับไม่รู้จักเธอ ถึงแม้ว่าเสียงและชื่อของเธอจะทำให้เขารู้สึกคุ้น ทว่าเขากลับนึกไม่ออก แต่กระนั้นเขาก็ยอมเออออไปก่อน
"อ่า...ครับ แล้วคุณมีธุระอะไรกับผม"
[เอ่อ...ไม่แน่ใจว่าคุณจะจำฉันได้ไหม ฉันคือคนที่คุณยื่นข้อเสนอเรื่องแต่งงานให้เมื่อคืน คุณจำฉันได้ไหมคะ]
"อ๋อ คุณนั่นเอง" เขาจำได้ทันทีที่เธอบอกแบบนี้ ที่แท้เธอก็คือคุณคนสวยนั้นเองที่ทำให้น้องชายเขา ‘ตื่น’ นั่นเอง และเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนพูดสาย มุมปากของชายหนุ่มก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ เพราะมีไม่กี่สาเหตุที่ทำให้เธอโทร. มาหาเขาเช่นนี้
ปรัชญ์เดินไปหยิบบรั่นดีที่บรรจุอยู่ในขวดคริสตัลสวยงาม เทลงแก้วขนาดพอดีมือ โคลงเล่นไปมาเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี
"คุณเปลี่ยนใจรับข้อเสนอของผมแล้วใช่ไหม"
[ค่ะ คุณสะดวกคุยกับฉันไหมคะ] ซีอีโอหนุ่มยิ้มแล้วดื่มเหล้าที่อยู่ในมือรวดเดียวหมด ก่อนจะตอบคำถามของหญิงสาว
"สะดวกมากครับ"
เมื่อถูกมารดาบีบบังคับจนไม่เหลือทางให้เลือกมากนัก กานต์พิชชาจึงจำเป็นต้องหาทางเอาตัวรอดจากการบีบบังคับ และข้อเสนอของผู้ชายที่ชื่อปรัชญ์...เป็นทางออกทางเดียวที่เธอนึกได้ในตอนนี้
ถึงแม้ว่าเธอจะบอกกับมารดาไปแบบนั้น แต่ก็มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอยังไม่แน่ใจ อย่างแรกเลยก็คือ...เธอไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขายังจะอยากแต่งงานกับเธออยู่ไหม และอย่างที่สอง...เธอไม่รู้จักเขา ไม่รู้ว่าเขามีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร เพราะไม่แน่เขาอาจจะมีนิสัยแย่กว่าขจรศักดิ์หลายเท่าตัว ทว่ากลับมีบางอย่างทำให้เธอรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเขา เชื่อ...ทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งเจอเขาเมื่อคืน
กานต์พิชชารีบต่อสายหาปรัชญ์ตามเบอร์โทรในนามบัตรที่เขาทิ้งเอาไว้ให้ เพื่อถามถึงข้อเสนอที่เขายื่นให้ และพูดคุยทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น หญิงสาวรอสายจนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครรับ กระทั่งสายถูกตัดไปในที่สุด เธอลองโทร. ไปอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ก็เหมือนเดิม ติดแต่ไม่มีใครรับ และสายก็ตัดไปอีกเช่นเดิม
หญิงสาวลดมือที่ถือสมาร์ตโฟนลงพร้อมถอนหายใจ ตามองตรงไปที่กระจกเงาตรงหน้า ยกมืออีกข้างขึ้นสัมผัสแก้มที่มีรอยนิ้วมือของมารดาอย่างชัดเจน ร่องรอยแห่งความเจ็บช้ำมันเกิดขึ้นบนใบหน้า ...ทว่าเธอกลับรู้สึกเจ็บที่ใจมากกว่า
แรงสั่นจากสมาร์ตโฟนที่อยู่ในมือดึงความสนใจของหญิงสาวให้ก้มลงไปมอง และทันทีที่เห็นเบอร์โทรที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ เธอก็เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาแปลก ๆ ทั้งที่เธอเป็นคนโทร. ไปก่อนแท้ ๆ
คุณปรัชญ์...เขาติดต่อกลับมา
เธอตัดสินใจกดรับทันทีเพราะไม่อยากให้ปลายสายรอนาน ทว่าอาการตื่นเต้นและประหม่ากลับทำให้เธอพูดไม่ออก จนกระทั่งเขาขู่จะวางสาย เธอจึงเรียกสติ และรวบรวมความกล้าพูดตอบโต้เขาไปในที่สุด
[คุณเปลี่ยนใจรับข้อเสนอของผมแล้วใช่ไหม] เขาถามกลับมา เธอจึงตอบกลับไปทันที เพราะเธอไม่มีเวลามาลังเลแล้ว
"ค่ะ คุณสะดวกคุยกับฉันไหมคะ"
[สะดวกครับ]
หลังจากนัดแนะสถานที่นัดเจอกันเสร็จ หญิงสาวก็ขอตัววางสาย ก่อนจะรีบเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว เธอหยิบของใช้ที่จำเป็นและเสื้อผ้าติดกระเป๋าออกมาด้วยสามสี่ชุด คิดว่าหลังจากคุยกับเขาเสร็จ เธอจะไม่กลับมาบ้านและไปหาที่สงบ ๆ อยู่สักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ แล้วค่อยกลับมาสู้รบกับมารดาต่อ