พี่เป้ยได้ยินก็ยื่นมือมาตีไหล่เธอหนักๆ ไปทีแล้วตำหนิออกมาว่า
“อีบ้า แกแค้นนังปุยนุ่นจนสมองกลับแล้วเหรอ”
“เออ” เอกนรีตอบรับหน้ามุ่ย “ก็แค้นมากอยู่ นี่กลุ้มมาก ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตดีแล้วเนี่ย แล้วไม่มีอะไรที่พี่หมอด้วงบอกแล้วมันไม่ตรงเลยอะ พี่เป้ยก็รู้ว่าไม่มี! นางแม่นมาก แล้วหนูก็ไม่อยากชีวิตตกต่ำ มันเหนื่อย แม่ก็แก่แล้ว หนูอยากให้แม่สบาย”
ตอนท้ายหญิงสาวกลับมาครวญสิ่งที่เธอกลัวต่อเช่นเดิม ที่ผ่านมามีเรื่องไหนของพี่หมอด้วงบ้างที่ไม่เป็นจริง ขนาดพี่เป้ยยังพยักหน้าหงึกๆ รับเลยว่ามันเป็นไปได้!
“เออๆ เอา” อีกฝ่ายสนับสนุนขึ้นมาในที่สุด “งั้นแกก็ต้องเริ่มจากไปจีบเขา ต้องทำเหมือนไม่รู้ทันนะยะว่าเขาน่ะเป็นเกย์”
คำแนะนำนั้นท่าจะยาก เธอแสดงละครไม่เก่งเลย ไม่อย่างนั้นก็ไปเป็นนางเอกแทนพริตตี้แล้ว
“รู้งี้ไม่น่าเล่นตัวเลย ตอนนั้นน่าจะอ่อยกลับไป ถ้ารู้ว่าจะต้องเข้าหาจะไม่ให้ข่าวตัดเยื่อใยแบบนั้นเลย”
หญิงสาวบ่นอย่างเสียดาย พี่เป้ยเลยแค่นหัวเราะใส่หน้าเธออย่างเป็นต่อ
“สมน้ำหน้าย่ะ”
“แล้วนี่หนูมีโอกาสจะได้เข้าหาเขาไหมพี่” เอกนรีขยับตัวถามอย่างกระตือรือร้นมากขึ้น
ไฮโซแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ออกงานอีเวนต์ก็ยากจะเจอ จะให้เธอบุกไปถึงที่ทำงานมันก็จะประเจิดประเจ้อเกินไป แบบนั้นเขาจะกลัวแล้วหนีแทนที่จะอยากช่วยเธอน่ะสิ
“ก็มีตามอีเวนต์แหละ” พี่เป้ยตอบ ก่อนจะร้องเสียงดังขึ้นมาเหมือนนึกอะไรได้ “เออ มีอีเวนต์ที่ซีซีมอล แกอาจจะได้เจอเขางานนั้นนะ”
“ว้าย จริงเหรอ” เอกนรีร้องอย่างดีใจเมื่อหนทางดูจะเปิดสว่างให้เธอในเรื่องนี้ ก่อนจะครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามคนขับรถด้วยความอยากรู้ “ตอนพี่เป้ยอ่อยผัวตัวเองนี่ทำยังไงนะ หนูตื่นเต้น ไม่เคยอ่อยใครมาก่อนเลย”
พี่เป้ยหันมาจิกตาใส่เธอก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเชิดหยิ่ง
“ฉันจะทำยังไงล่ะยะ ฉันหน้าตาดีขนาดนี้ผัวก็มาจีบเอง” ก็ไม่อยากยอมรับหรอก แต่นังพี่เป้ยมันหน้าตาดีจริงๆ ถ้าเป็นผู้คือหล่อมาก แต่เสียดายนางไม่ใช่ นางคือพี่สาวของเธอนั่นแหละ “แกนั่นแหละ อย่าไปทำเหยื่อตื่น”
อีกฝ่ายย้ำสำทับ
แน่นอนว่าคำปรึกษาที่ขอไปนั้นไม่ช่วยอะไรเลย เอกนรีเลยนั่งหน้าเครียดคิดหัวแทบแตกอยู่ถึงสามนาที ก่อนจะเริ่มร่ายแผนการของตัวเองออกมาปรึกษาอีกฝ่าย
“หนูจะใช้มุกไหนดี เอาแบบนางเอกละครสวยๆ ดีไหมพี่ แบบเดินผ่านหน้าแล้วก็แข้งขาอ่อนแรง ล้มลงไปให้เขาประคอง จากนั้นก็ปิ้งปั๊งรักกัน แต่ของหนูก็คงฉวยโอกาสตื๊อเขาอะไรแบบนี้ เขาดูเป็นคนยังไงพี่ นี่ไปค้นดูรูปก็เห็นทำแต่หน้าเฉยๆ บึ้งๆ อะ แต่หล่อมาก” เธอฉวยโอกาสตอนที่รอนั่งพี่เป้ยเข้าห้องน้ำก่อนจะขึ้นรถค้นประวัติของผู้ชายคนนั้นเรียบร้อย “ใจหนูร้องงู้ยทุกครั้งที่เห็นหน้า เสียดายทรัพยากรชายหน้าตาโคตรดี โปรไฟล์อลังการงานดีของโลกใบนี้ที่หันไปกินกันเองมาก”
“แกนี่มัน เฮ้อ...” พี่เป้ยถึงกับถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าสมเพชเวทนา “สมกับที่แม่โทร.มาฟ้องฉันว่าแกเริ่มเป็นบ้าฟุ้งซ่านเพราะไม่มีงานจริงๆ มโนอะไรเป็นตุเป็นตะเบอร์นั้นวะลี่ ใจเย็นๆ แกแค่เดินเฉียดเขาเฉยๆ คุณภูธเรศก็ต้องเข้าหาแกเองแน่นอน”
บ้า เธอไม่ได้เพ้ออะไรขนาดนั้น ก็แค่ว่างก็เลยดูละครเป็นเพื่อนแม่มากไปหน่อยแค่นั้น ทำไมต้องว่าเธอขนาดนี้ด้วย
“จริงเหรอ” เธอถามอย่างไม่อยากเชื่อเท่าไรนัก “ตีนพลิกใส่สักนิดให้รู้ว่าอ่อยดีไหม แบบ...แลดูเปิดเผยหน่อยให้รู้ว่ามาค่ะ ฉันชอบ พร้อมจะเป็นเครื่องมือให้คุณ อะไรแบบนี้ พี่ต้องไม่ลืมว่ายังไงเขาก็เป็นเกย์”
เห็นไหม ความคิดนี้ดีออก ให้ชัดเจนกันไปในเมื่อเขาใช้เธอก่อน เธอเลือกใช้เขาบ้าง วินวินกันนะเธอเรียนมา
“แต่เกย์ก็ผู้ชาย” พี่เป้ยบอกเสียงสะบัด “ฉะนั้นจำเอาไว้ว่าจะเสียหน้าต่อหน้าผู้ชายไม่ได้”
น้ำเสียงตอนท้ายนั้นหนักแน่นเป็นอย่างมาก ประหนึ่งจะบังคับให้เธอสาบาน
“โหพี่เป้ย” เอกนรีได้แต่ร้องครางอย่างทำอะไรไม่ถูก “หนูไม่เคยจีบผู้ชาย ยิ่งเกย์ก็มีแนวโน้มสนใจผู้หญิงต่ำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่เข้าหาเขาจะมองเห็นหน้าหนูเหรอ หนูต้องทำยังไงอะ”
“ทำอะไรก็ได้ แต่มุกตีนพลิกขอร้องห้ามเล่น”
อีกฝ่ายร้องห้าม เอกนรีเลยรีบเค้นสมองคิดถึงวิธีอ่อยต่อๆ มา
“ถ้างั้นทิ้งผ้าเช็ดหน้าให้ดีปะ”
“แกไม่เคยพกลี่”
“ทิ้งเสื้อในให้เลยดีไหม”
“ไม่อายคนก็ถอดสิยะ”
“งั้นทิ้งรองเท้าแบบซินเดอเรลลาล่ะ”
“เออ ทิ้งจิมมี่ชูลงก็ทิ้งไป แต่เชื่อเลยว่าจะไม่มีใครเก็บมาตามหาตัวแกนังน้องโง่”
ตอนท้ายอีกฝ่ายแดกดัน เธอเลยได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ยากจัง”
“คิดแบบคนธรรมดาก็ได้มั้งลี่ นามบัตร ไลน์ เบอร์โทร.อะไรก็หัดคิดถึงบ้าง”
“ก็กลัวไม่ชัดเจนพอ” เธอบอกอย่างกลัดกลุ้มใจ “กลัวเขาคิดว่าไปของานมากกว่าอยากขอแต่งงาน”
“งั้นเดินไปขอแต่งงานอาจจะง่ายกว่านะ”
“โอ้โฮ” อย่าคิดว่าเธอโง่ไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยากได้ไหม “เขาจะให้ยามมาลากตัวหนูไปทิ้งไหมพี่ แต่จริงๆ หนูว่าตีนพลิกนี่แหละเวิร์กสุดนะ” เธอวกกลับมาข้อแรกอีกครั้งอย่างยึดติดในตัวเลือกนี้ “โคตรพื้นฐาน ละครหลายเรื่องก็รักกันเพราะตีนพลิกทั้งนั้น จะไทยจะเกาหลีก็เยอะอะ ละครมันมาจากพื้นฐานเรื่องจริงไม่ใช่เหรอ นี่หนูดูกับแม่มาเยอะ หนูคิดว่า...”
“ลี่ พอเถอะว่ะ” พี่เป้ยขัดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าขอร้องเพราะทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป “ไม่ต้องทำอะไรนะ ถ้าแกอยากหลอกเขาก็ห้ามอ้าปากพูดนะ เขาจะได้ไม่รู้ว่าจริงๆ แกสติไม่ดีน่ะลี่ เฮ้อ เหนื่อย ทำไมคนสวยมีนมมันต้องไม่มีสติด้วยวะ อยากจะเทมันทิ้งแล้วลาออก แต่สงสารแม่มัน ตู้เสื้อผ้ามันยังผ่อนไม่หมดเลย ตู้เสื้อผ้าฉันก็ด้วยนี่แหละ!”
ตอนท้ายอีกฝ่ายบ่นกับตัวเองงึมงำ ทำให้เธอที่มัวแต่สนใจแผนการของตัวเองได้ยินไม่ชัด
“พี่เป้ยบ่นอะไรน่ะ ฟังไม่ทัน แล้วได้ฟังหนูปะว่าจะใช้แผนไหนดี”
พอเธอถามออกไปเช่นนั้น พี่เป้ยก็กลับหันมาแยกเขี้ยวคำรามใส่เธอ
“ใช้แผนฉัน ถึงเวลาฉันจะบอกเอง โอเคนะ!”
เอกนรีจะทำอะไรได้ นอกจากหุบปากรับฟังเท่านั้น ไม่อาจโต้แย้ง แม้ในใจจะขัดขืนก็ตามที
ตีนพลิกใส่ไม่ดีตรงไหน นางเอกละครทำออกจะบ่อยไป อ่อยแบบนี้ทีไรได้ผัวกันหมดทุกที ถ้ามุกนี้มันใช้ไม่ได้ ทำไมละครยังเขียนถึงอีกอยู่ล่ะ จริงไหม!