กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ห้องเสื้อดิแอร์
มือบางจัดชุดสูทสีขาวที่อยู่บนตัวหุ่นให้เรียบร้อยก่อนจะกวาดสายตามองอย่างชื่นชม รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นที่เรียวปากอวบอิ่มที่เคลือบลิปสติกสีเชอร์รี่เข้มเอาไว้ ดวงหน้ารูปไข่มีเส้นผมสีดำสนิทที่ดัดเป็นลอนใหญ่ยาวจนถึงเกือบบั้นเอวล้อมกรอบหน้า คิ้วโก่งดุจคันศรพาดเหนือดวงตากลมโตสุกใสสีเทาอ่อน ปลายจมูกเชิดรั้นนิดๆ รับกับริมฝีปากจิ้มลิ้ม เครื่องหน้าที่ประกอบกันทำให้หญิงสาวดูงดงามไร้ที่ติ รอยยิ้มหวานซึ้งที่มักจะปรากฏบ่อยๆ บนดวงหน้าเนียนใสก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้เลย หญิงสาวมีรูปร่างเพรียวบางเอวคอดกิ่วสะโพกพาย และพกความอวบอิ่มที่ช่วงอกมาเกินตัว หญิงสาวไม่ใช่คนที่มีผิวขาวจัด แต่มีผิวกายที่เรียบเนียนละเอียดไปทั้งตัว แค่มองด้วยตาเปล่ายังสามารถจินตนาการได้ถึงความนุ่มละมุนหากได้แตะต้อง รอยยิ้มบนดวงหน้ารูปไข่กว้างขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากเพื่อนสนิท
“นีเซีย”
“มาสายนะ เพราะฉะนั้นวันนี้เธอต้องเลี้ยงข้าวฉัน”
นีเซียกล่าวพลางหัวเราะคิกคัก ส่วนคนต้องเลี้ยงข้าวอย่างบันนี่ถึงกับส่ายหน้าคล้ายระอา ทว่าบนใบหน้าของสาวผมทองกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เธอจะงกไปถึงไหนนะนีเซีย ลูกสาวเจ้าของโรงแรมคาสซาโน่แกรนด์ที่มีมากกว่ายี่สิบสาขาทั่วโลก ทั้งยังเป็นเจ้าของห้องเสื้อดิแอร์ ห้องเสื้อชั้นนำของโลก เงินจะท่วมตัวตายเข้าเมื่อไรก็ไม่รู้ ยังจะให้ฉันเลี้ยงข้าวอีกงั้นเหรอ”
“ช่วยไม่ได้ เธออยากมาสายกว่าฉัน กฎก็ต้องเป็นกฎจ้า”
นีเซียกับบันนี่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พอเรียนจบก็มาเปิดห้องเสื้อที่กรุงปารีสด้วยกัน แม้ห้องเสื้อดิแอร์จะเพิ่งดำเนินกิจการมาได้ราวๆ สามปี แต่กลับติดอันดับหนึ่งในห้าห้องเสื้อชั้นนำของโลก ผู้มาใช้บริการมีทั้งคนในวงการบันเทิง ทั้งนักแสดงระดับฮอลลีวูด นายแบบ นางแบบ คนทั่วไปที่กระเป๋าค่อนข้างหนัก รวมถึงบางครั้งทั้งคู่ยังถูกสำนักพระราชวังจากประเทศต่างๆ เชิญให้ไปตัดชุดให้เจ้านายในราชวงศ์ แต่ปีหนึ่งรับงานไม่เยอะ บางครั้งต้องจองคิวงานข้ามปี เพราะชุดที่ตัดทุกชุดไม่ใช้เครื่องจักร เป็นงานที่ทำด้วยมือทุกขั้นตอน งานทุกชิ้นจึงเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดและประณีต นอกจากสองสาวแล้ว ยังมีทีมงานที่ทำงานในห้องเสื้ออีกราวๆ สิบคน ทั้งคู่ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพของงานตัดเย็บทุกชิ้น
“ก็ได้ๆ วันหลังฉันจะมาตั้งแต่ตีห้า” บันนี่เอ่ยเสียงกระเง้ากระงอด
“ก็แล้วแต่เธอสิ”
นีเซียหัวเราะคิกคัก นั่นทำให้บันนี่ส่ายหน้าน้อยๆ อีกครั้ง ก่อนที่สองสาวจะพากันไปนั่งที่โซฟาตัวยาว บันนี่หยิบแท็ปเล็ตที่วางอยู่ตรงโต๊ะกระจกขึ้นมา เลื่อนปลายนิ้วในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ตารางงาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วหันมาหานีเซียที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
“ชุดเจ้าบ่าวและชุดเจ้าสาวต้องส่งงานลูกค้าอาทิตย์หน้าทันใช่ไหม”
“เรียบร้อย”
นีเซียตอบพลางยิ้มกว้าง หญิงสาวรับผิดชอบตัดสูทเจ้าบ่าว ส่วนบันนี่รับผิดชอบชุดเจ้าสาว และชุดเจ้าบ่าวที่อยู่บนตัวหุ่นที่นีเซียจับอย่างทะนุถนอมเมื่อสักครู่คืองานที่จะต้องส่งลูกค้า
“เร็วจริงนะ” บันนี่แซว
“อ๊ะ ก็แน่สิ ฉันจะได้หยุดยาวๆ อีกสองอาทิตย์ค่อยเจอกันใหม่นะจ๊ะเพื่อนรัก เพราะฉันคิดถึงพี่นีน่าจะแย่อยู่แล้ว”
นีเซียกล่าวถึงพี่สาวฝาแฝด ทั้งคู่เป็นลูกเสี้ยว บิดาของพวกเธอเป็นลูกครึ่งไทย-อิตาลี ส่วนมารดาของพวกเธอเป็นคนไทย บิดาและมารดาของพวกเธออาศัยอยู่ที่คฤหาสน์คาสซาโน่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี และครอบครัวของพวกเธอก็เป็นเจ้าของโรงแรมคาสซาโน่แกรนด์ที่มีอยู่มากกว่ายี่สิบสาขาทั่วโลก โดยมีสาขาใหญ่อยู่ที่กรุงโรม
นีน่าพี่สาวของนีเซียเพิ่งเข้าพิธีวิวาห์กับเจ้าชายหนุ่มรูปงามจากประเทศคาดาร์เมื่อสี่เดือนก่อน ชีคฟารีส บิน วาลิด ฟาร์ดาน คือชื่อของพี่เขยของเธอ
และอีกสองวันเธอก็จะบินไปหาพี่สาวฝาแฝดที่ประเทศคาดาร์
“งั้นเย็นนี้เราคงต้องจัดมื้อใหญ่แล้วล่ะ เพราะอีกนานกว่าเราจะได้กินข้าวด้วยกัน” บันนี่ว่า
“แหม ฉันไปแค่สองอาทิตย์นะ ไม่ได้ไปสองเดือนสักหน่อย”
“เอาน่า มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง ตกลงจะกินไหม”
“กินสิ ของฟรีฉันเคยปฏิเสธซะที่ไหน”
“ยายงก” บันนี่แกล้งต่อว่านีเซียอย่างไม่จริงจังนัก ส่วนคนถูกต่อว่าก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ “แล้วนี่จะไม่บอกลาพ่อนายแบบสุดหล่อของแกหน่อยเหรอ”
“โฌแอ็ลน่ะนะ”
นีเซียกล่าวถึงนายแแบบหนุ่มชาวฝรั่งเศสที่เคยมาตัดเสื้อสูทที่ห้องเสื้อดิแอร์ หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันบ้าง แต่ไม่เคยไปไหนมาไหนเลยสักครั้ง มีแค่โฌแอ็ลแวะซื้อของมาฝากโดยอ้างว่าเป็นทางผ่านกลับเพนต์เฮาส์พอดี
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ทำไมฉันต้องบอกเขาด้วยล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“เขาชอบแก อย่าทำเป็นไม่รู้” บันนี่ว่าแล้วหรี่ตามองนีเซียคล้ายจับผิด
“ชอบฉันแล้วไง แต่ฉันไม่ได้ชอบเขานี่”
“จ้า แม่คนสวยเลือกได้”
“ฮึ มันแน่นอนอยู่แล้ว”
นีเซียแกล้งเชิดใบหน้าขึ้นนิดๆ พลางหยักคิ้วใส่บันนี่ อีกฝ่ายทำหน้าเอือมระอาแต่แน่นอนว่านีเซียไม่ยี่หระ ซ้ำยังไหวไหล่ใส่เพื่อนสนิทอย่างต้องการกวนประสาท ซึ่งบันนี่ก็ไม่ได้ถือสาหาความเพราะรู้จักนิสัยใจคอของนีเซียดี
อามิลขึ้นมาหามารดาที่ห้องนอน หลังจากที่อีกฝ่ายไม่ยอมลงไปรับประทานมื้อเย็น ชายหนุ่มสั่งให้สาวใช้ยกอาหารตามขึ้นมาด้วย ประตูห้องไม่ได้ล็อก เขาถือวิสาสะเปิดเข้าไปในห้องโดยไม่ได้เคาะขออนุญาตก่อนอย่างที่ควรจะเป็น โนยายังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง ร่างสูงหันไปบอกสาวใช้
“วางลงบนโต๊ะแล้วออกไปได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ค่ะ”
สาวใช้รับคำแล้วค่อยๆ ถอยออกไปจากห้องอย่างระมัดระวังพร้อมดึงประตูปิดให้อย่างเสร็จสรรพ ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเตียงแล้วเรียกมารดา
“ท่านแม่ ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนนะครับ”
โนยาค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าลูกชายคนโต จึงค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนโดยมีอามิลช่วยประคอง
“แม่ไม่รู้สึกหิวเลยอามิล”
“กินสักนิดนะครับแล้วค่อยนอนพัก”
อามิลบอกเสียงทุ้มนุ่ม ชายหนุ่มมักจะอ่อนโยนเสมอหากอยู่กับมารดา
“แต่ว่า…” โนยาจะปฏิเสธแต่แน่นอนว่าอามิลไม่ยอมให้มารดาได้ทำแบบนั้น
“นิดเดียวก็ได้ครับ หากแม่ไม่สบายขึ้นมา อาเหม็ดจะพาลเกเรไม่ยอมขึ้นเรือทำหน้าที่กัปตันเรือให้ผมแน่ แบบนี้ธุรกิจเรือสำราญของผมก็ขาดรายได้น่ะสิครับ”
“ที่แท้ก็กลัวขาดรายได้นี่เอง”
โนยาคลี่ยิ้มบางๆ พลางส่งค้อนวงใหญ่ให้ลูกชายอย่างไม่จริงจังนัก ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าตัวพูดเล่น แต่พูดแบบนั้นมันน่าหมั่นไส้น้อยอยู่เสียเมื่อไรกัน
“ก็ได้ แม่จะเห็นแก่รายได้ของลูกก็แล้วกัน”
พอมารดารับปากแบบนั้น อามิลก็คลี่ยิ้มกว้าง หากเป็นอยู่ต่อหน้าคนอื่น ชายหนุ่มมักแสดงสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น แต่สำหรับมารดาคือทุกข้อยกเว้น
“เดี๋ยวผมป้อนนะครับ”
“ได้จ้ะ”
อามิลป้อนอาหารให้โนยาจนกระทั่งอาหารในจานพร่องไปเกือบครึ่งโนยาก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม อามิลก็ไม่ได้คะยั้นคะยออีก ชายหนุ่มวางจานอาหารลงบนโต๊ะตามเดิม ก่อนจะหยิบแก้วน้ำส่งให้โนยา
“ขอบใจจ้ะ”
โนยาบอกหลังจากที่ดื่มน้ำจนหมดแก้ว อามิลหยิบแก้วเปล่าจากมือของมารดาวางลงบนโต๊ะ ระหว่างนั้นโนยายังคงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง
“แม่อยากไปเดินย่อยอาหารหน่อยไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป”
“ไม่ดีกว่า แม่เพลียๆ อยากจะนอนมากกว่า”
“นั่งอีกสักพักนะครับแล้วค่อยนอน เพราะเพิ่งกินอิ่มใหม่ๆ รอให้อาหารย่อยก่อน”
“จ้ะ ลูกมีอะไรก็ไปทำเถอะอามิล แม่อยู่ได้”
“ผมไม่มีอะไรที่ต้องจัดการแล้วครับ แต่แม่คงอยากอยู่คนเดียว ถ้างั้นผมจะไปเดินเล่นข้างล่างก่อน ไว้จะเข้ามาดูอีกที”
“ไปเถอะจ้ะ”