สายตาคู่นั้น

2104 คำ
“บรื๊ออออ~ มันคึกจริง ๆ เลยเว้ย!!” ไอ้บอมสะบัดหน้ากระพือปากอย่างคึกคัก ตอนนี้พวกผมออกมาดื่มกันที่ร้านยาดองเฮียก้ง ไม่รู้พวกมันไปคึกมาจากไหนถึงได้นึกอยากดื่มตั้งแต่บ่ายสาม ผมไม่ได้ติดธุระอะไรจึงยอมตามใจพวกมันซักวัน “นั่นใครวะ” ผมพยักพเยิดหน้าไปที่แก๊งชายชุดดำที่เดินวางมาดอยู่ถนน ผมไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อน พวกมันคงไม่ใช่คนในพื้นที่แน่ ๆ “แก๊งมังกร มาเฟียใหญ่ข้าง ๆ ย่านเรานี่แหละลูกพี่” ไอ้บอมรีบรายงาน ผมนั่งจ้องมองดูมันอยู่ซักพัก ก่อนที่ไอ้หัวหน้าของพวกมันจะหันหน้าเข้ามาปะทะดวงตากับผมอยู่ครู่หนึ่ง มันจึงตรงเข้ามาในร้านเหล้าที่พวกผมนั่งอยู่ ไม่รู้ทำไมแว๊บแรกที่ผมสบตามัน ผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับมันเอาเสียเลย ผมรับรู้ได้ถึงพลังงานความชั่วบางอย่างในตัวมันที่แผ่ซ่านออกมาจนปิดไม่มิด ชายร่างใหญ่พร้อมลูกน้องอีกจำนวนหนึ่งตรงดิ่งเข้ามาหาผมแต่ก็ถูกพวกลูกน้องผมขวางทางเอาไว้เสียก่อน “เห้ย!! ให้มันเข้ามา” ผมตะโกนสั่งลูกน้อง มันจึงรีบถอยออกให้พวกนั้นเดินเข้ามาถึงตัวผมได้โดยง่าย “เคยได้ยินแต่ชื่อเสียง คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีโอกาสได้มาเจอตัวเป็น ๆ ฉันชื่อมังกรนะ” ชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่แต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำยื่นมือหนามาตรงหน้าผมเพื่อแสดงความเป็นมิตร พูววว!! ผมไม่ได้ยื่นมือไม่จับตอบมัน แต่กลับพ่นควันบุหรี่สีขาวใส่หน้ามันอย่างจังจนควันลอยโขมงไปทั่วบริเวณ แกร๊ก ๆ !! ลูกน้องมันที่ร่างกำยำไม่แพ้กันยกปืนขึ้นจ่อหัวผมโดยเร็วพลัน ส่วนลูกน้องผมก็ตั้งลำจ่อที่หัวนายมันอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน “พยัค อย่า” มันรีบปรามลูกน้องให้เอาปืนลงก่อนจะยกยิ้มตอแหลบาง ๆ ให้ผม “ถึงตอนนี้นายจะยังไม่อยากรู้จักฉันก็ไม่เป็นไร แต่อีกไม่นาน นายจะได้รู้จักฉันดีแน่” มันซ่อนความโกรธไว้ภายใต้ดวงตาเรียบนิ่งก่อนจะเดินหันหลังจากไป “โธ่เอ๊ยย!! นึกว่าจะแน่!!” ไอ้บอมตะโกนไล่หลังพวกมันอย่างเดือดดาล “มันเป็นมาเฟียฝั่งไหนวะ บริเวณรอบ ๆ ย่านนี้ก็มีแต่ของไอ้ศิวะไม่ใช่หรอ” ผมเอ่ยถามไอ้บอมอย่างนึกสงสัย ไอ้บอมมันเป็นผู้รอบรู้ มันมักจะรู้ทุกอย่างรู้ทุกเรื่องเสมอ “คืองี้ลูกพี่ ไอ้พวกนี้มันเพิ่งขยายอิทธิพลเข้ามาได้ไม่นาน ได้ยินว่าพวกมันโหดเหี้ยมเอาเรื่องอยู่ พวกมันประกบเราไว้ที่ฝั่งซ้ายกับขวา ส่วนไอ้ศิวะคือฝั่งบนกับฝั่งล่างแล้วทีนี้เส้นทางส่งสินค้ามันต้องผ่านย่านเราไง ไม่งั้นต้องอ้อมไปอีกฝั่งเลยล่ะ เพราะว่าย่านเราอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของกากบาทพอดีเป๊ะ” มิน่าล่ะ พวกมันถึงอยากจะแย่งที่ตรงนี้จากผมนัก “ไอ้มังกรกับไอ้ศิวะนี่แก๊งไหนใหญ่กว่ากันวะ” “พอ ๆ กันแหละลูกพี่ แต่ไม่เคยเห็นไอ้ศิวะมันฆ่าใครมั่วซั่วนะ ไม่เหมือนพวกไอ้มังกร กว่าจะได้ปกครองฝั่งซ้ายมันฆ่าคนเก่าตายจนยกรังเลย” ไอ้บอมพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล นี่สินะ เหตุผลที่ไอ้ศิวะมันอยากปกครองย่านนี้นักหนา ‘เป็นไปได้มั้ย ที่มึงจะเชื่อใจกู’ ‘แต่ไม่เคยเห็นไอ้ศิวะมันฆ่าใครมั่วซั่วนะ’ ผมเริ่มประมวลคำพูดของไอ้ศิวะกับไอ้บอมเข้าหากัน ไอ้ศิวะมันกดดันผมสารพัดก็จริง แต่มันไม่เคยส่งคนมาทำร้ายคนของผมหรือชาวบ้านเลยแม้แต่นิด หรือจริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่ผมคิดก็ได้… พวกผมนั่งดื่มกันต่ออยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนจะพยุงกันกลับบ้าน “อุทาหรณ์ ของคนรุ่นเก่า มีชายชรา เป็นคนขี้เมา งานการไม่ทำ แกกินแต่เหล้า กินตั้งแต่เช้าทุกวี่วัน~” เสียงร้องเพลงของชายขี้เมาห้าหกคนดังกังวานไปทั่วท้องถนน ทุกคนต่างเดินเป๋เซไปเซมา ยกเว้นผมคนเดียวที่ไม่ได้ดื่มเข้าไปมาก เพราะหลังจากเหตุการณ์ในคืนเสียตัวในวันนั้นผมก็เข็ดขยาดไม่กล้าหือกับเหล้าอีกเลย “เมื่อครั้งยังหนุ่ม แกเคยทํานาเคยเอาหลังสู้ฟ้า ปลูกข้าวให้คนกิน หนี้สินล้นตัว เพราะมัวแต่ทํานา ไม่เคยเรียนรู้วิชา ที่นาก็หลุดลอย~” พวกมันตะโกนแหกปากลั่นจนแสบแก้วหูจนผมต้องส่ายหน้าพัลวัน ทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายร่างใหญ่ที่คุ้นตากำลังประกอบแผ่นไม้อะไรซักอย่าง อย่างเก้ ๆ กัง ๆ แถวข้างสะพานลอย “นั่นมันไอ้ศิวะนี่หว่า มันมาทำอะไรแถวนี้วะ” ผมพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วเบา “ว่าไงนะลูกพี่?” ไอ้บอมเอ่ยถามเสียงยืดยานและเปลือกตาที่ปรือแทบจะปิด “เอ่อ… กูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ร้านเฮียก้ง เดี๋ยวกูกลับไปเอาก่อนนะ” “เดี๋ยวผมกลับไปเอาให้ลูกพี่” ไอ้บอมเสนอ “ไม่เป็นไร กูกะว่าจะไปซื้อของใช้ส่วนตัวด้วย” ผมรีบตอบกลับทันที “เอางั้นหรอลูกพี่ ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย” ทั้งที่หน้าแดงก่ำแถมยังเดินเซไปเซมาแต่มันก็ยังมีกระจิตกระใจห่วงผมอยู่ มึงห่วงตัวเองก่อนเถอะบอมเอ๊ย “ไม่เป็นไร พวกมึงกลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกู” ผมปัดมือไล่ ถึงพวกมันจะมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ก็ยอมทำตามที่ผมบอกโดยง่าย พวกมันไม่ค่อยอยากทิ้งผมให้อยู่คนเดียวสักเท่าไหร่ ยิ่งช่วงนี้มีแต่คนจ้องจะเล่นงานผม พวกมันยิ่งเกาะติดผมแน่นยิ่งกว่ากาวตราช้างเสียอีก หลังจากที่พวกมันทยอยกันเดินกลับไปผมก็เดินตรงเข้ามาหาไอ้ศิวะด้วยความสงสัย จริง ๆ ผมไม่ได้ลืมกระเป๋าสตางค์อะไรนั่นหรอกครับ มันเป็นแค่ข้ออ้างให้ผมได้อยู่คนเดียวเท่านั้นเอง “ทำไรวะ” ผมเอ่ยถามเสียงเรียบขณะที่คนร่างใหญ่กำลังก้มหน้าก้มตาตอกตะปูลงแผ่นไม้เก่า ๆ อย่าทุลักทุเล มันช้อนหน้าขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแฉ่งออกมาทันทีเมื่อเจอหน้าผม “ไอ้อัถ มึงมาก็ดีเลยมาช่วยกูหน่อย” มันกวักมือเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ สภาพมันตอนนี้ดูมอมแมมจนดูแทบไม่ได้มันสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน ใบหน้าถูกแต่งแต้มไปด้วยเศษดิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้ใบหน้าหล่อ ๆ ของมันมีเสน่ห์น้อยลง ไปเลย หยาดเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาตามตัวจนเปียกชุ่มเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่งที่แนบติดเสื้อเพิ่มความเซ็กซี่ให้มันเข้าไปอีกเท่าตัว ผมพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดอกุศลนี้ออกไปแล้วเดินเข้าไปหามันอย่างว่าง่าย “ว่าไง” “พอดีกูเห็นลูกหมาถูกทิ้งอยู่ตรงนั้นน่ะ” มันชี้มือไปที่หลังพุ่มไม้ที่มีหมาสีน้ำตาลสองตัววิ่งไล่หยอกกันอย่างสนุกสนาน “แล้ว?” ผมกอดอกเอียงคอถามในสิ่งที่พอจะเดาคำตอบได้ “กูก็เลยมาทำบ้านให้มันอยู่” มันว่าพร้อมกับผายมือไปที่บ้านไม้สะภาพอุบาทว์ที่ดูคลอนแคลนจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ด้วยท่าทางภูมิใจ “หึ กูบอกตามตรงนะ ถ้ากูเป็นหมาแล้วมีคนมาสร้างบ้านสภาพเส็งเคร็งแบบนี้กูอยู่ กูยอมหนาวตายในพุ่มไม้ดีกว่า” “ทำไมวะ” มันนิ่วหน้าอย่างคนโดนขัดใจพร้อมกับใช้แขนเสื้อปาดเม็ดเหงื่อบนใบหน้าออก ผลัก!! โครมมม!! “ไอ้เหี้ย มึงทำอะไรวะ!!” มันหันหน้ามามองผมสลับกับบ้านหมาที่ล้มทับกันไม่เป็นท่าหลังจากที่ผมใช้เท้าถีบจนมันเซล้มไปอย่างง่ายดาย “ทำให้มึงเห็นไง ว่าบ้านไม้ของมึงแม่งไม่แข็งแรง ถ้าพายุมามันได้ตายห่ากันพอดี” เหมือนมันจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดแต่ก็ยังมีสีหน้าหงุดหงิดอยู่บ้าง “มึงรู้มั้ยกว่ากูจะทำเสร็จ ใช้เวลาเกือบตั้งสองชั่วโมง” มันทำหน้าบูดบึ้งเป็นตูดเด็ก เห็นแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้ ผมพยายามกลั้นขำสุดชีวิต แต่มันไม่ไหวจริง ๆ จนต้องระเบิดหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ ๆ กะอีแค่เอาเศษไม้มาเรียงกันเนี่ยนะ มึงถึงกับต้องใช้เวลาตั้งสองชั่วโมง กูถามจริงเหอะ มึงขึ้นมาเป็นหัวหน้ามาเฟียได้ไงวะ จับสลากเอางี้หรอ” “ทำไม จะขึ้นมาเป็นมาเฟียได้มันต้องสร้างบ้านหมาเป็นรึไงวะ” มันว่าพร้อมกับขว้างค้อนตีตะปูเข้าไปในป่าอย่างหัวเสีย “โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรน้าา~ ถึงบ้านหมาของมึงจะทุเรศตาไปหน่อย แต่มันก็อุบาทว์ใช้ได้อยู่ ฮ่า ๆ ๆ” ผมว่าพร้อมกับลูบไหล่ปลอบใจมัน แต่มันก็สะบัดออกด้วยความฉุนเฉียว มึงนี่ก็ตลกเหมือนกันนะ นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นมุมปัญญาอ่อน ๆ จากผู้ชายสันเท่าควายแบบนี้ “ไอ้เหี้ยหมอบ!!” ทันทีที่พูดจบผมก็กระชากแขนไอ้ศิวะให้หมอบลงต่ำ เมื่อเหลือบมองไปเห็นไอ้เข้มขับรถผ่านมาทางนี้ วันนี้ไอ้เข้มไม่ได้มาดื่มกับพวกผมเพราะเป็นเวรมันที่ต้องเข้าไปซื้อของสดไว้ทำอาหาร ผมก็ลืมไปเสียสนิทว่ามันต้องผ่านมาเส้นทางนี้ ผมชะโงกหัวดูก็พบว่ามันจอดรถอยู่ข้างทางก่อนจะก้าวขาลงจากรถ เชี่ยแล้วไง! ไอ้เข้มรีบวิ่งแจ้นตรงเข้ามาที่ขอบถนน โชคดีที่ตรงนี้มีกองไม้บังไว้อยู่ “หมอบลง” ผมกระซิบบอกไอ้ศิวะเสียงแผ่วเบาพร้อมกับกดตัวมันให้นอนราบลงพื้น ส่วนผมก็นอนราบทับตัวมันไว้อีกที “ใครมาวะ” “ชูววว” ผมใช้มือปิดปากมันไว้ในระยะประชิด ไอ้เข้มเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าผมก่อนจะหันซ้ายแลขวา มันปลดกระดุมกางเกงออกอย่างลนลาน ผมเห็นอย่างนั้นก็ตาเบิกโพลง อย่าบอกนะว่ามึงจะ…. ฉี่!!! “อ้าาาา~ เกือบฉี่ราดแล้วมั้ยล่ะกู” มันว่าพร้อมกับทำหน้าตาฟินสุดฤทธิ์ขณะที่ปล่อยน้ำสีเหลืองใสพุงออกมา ไอ้ฉิบหายเอ้ย!! มาฉี่อะไรตรงนี้วะ “บรื้ออออ!!” มันสะบั้นไปทั้งตัวก่อนจะเก็บอาวุธเข้าสู่กางเกงแล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถจากนั้นก็ขับบึ่งออกไป ฟูววว!! “นึกว่าจะไม่รอดซะละ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหน้าไปประสานสายตาของไอ้ศิวะที่จับจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว พลันหัวใจผมก็เริ่มมีปฏิกิริยากับสายตาคู่เฉี่ยวคมของมันอย่างปิดไม่มิด หัวใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างควบคุมไม่อยู่ และยิ่งไปกว่านั้นคือผมก็ได้ยินเสียงหัวใจของมันที่เต้นดันเนื้ออกจนแทบทะลุออกมาเช่นกัน ไอ้ศิวะเคลื่อนมือเข้ามาสอดบริเวณต้นคอของผม พร้อมกับรั้งให้โน้มลงไปแนบชิดใบหน้ามันยิ่งขึ้น ผมเองก็เหมือนกับต้องมนต์สะกดไปชั่วขณะ โน้มใบหน้าเข้าไปแนบชิดใบหน้ามันก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ พร้อมเตรียมรับสัมผัสอันแสนนุ่มนวลจากริมฝีปากบางของคนด้านล่าง แต่ทันใดนั้น… “เชี่ยเอ๊ย!! เยี่ยว” ยังไม่ทันที่ริมฝีปากเราจะได้ประกบกัน ไอ้ศิวะก็ผลักตัวผมออกพร้อมกับเด้งตัวขึ้นทันที มันรีบหันหลังให้ผมดูอย่างลนลาน “เปื้อนเยอะมั้ยวะ” มันถามอย่างหัวเสีย “หึหึ เต็มหลัง” “แม่งเอ๊ย!! โคตรซวย” มันทำหน้าขยะแขยงราวกับจะอ้วกออกมา เห็นอย่างนี้แล้วผมก็อดสะใจไม่ได้จริง ๆ สมน้ำหน้า!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม