ภีมยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยความสะใจ เขาแทบจะเห็นภาพเพียงฟ้าต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง ทุกรอยน้ำตา ทุกความทุกข์ใจ จะกลายเป็นความบันเทิงสำหรับเขาอย่างสมบูรณ์
“สองวันเท่านั้นเอง” ภีมพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงเย็นเยียบ ราวกับโลกทั้งใบอยู่ในกำมือของเขา
เพียงฟ้านั่งอยู่บนม้านั่งไม้เก่าๆ ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง แสงแดดอ่อนยามบ่ายส่องลอดผ่านร่มไม้ลงมาบนใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเธอ มือบางกุมแฟ้มเอกสารกู้เงินไว้แน่น เหมือนเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะยึดเกาะในชีวิต
น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็เอ่อล้นออกมาในที่สุด ร่วงลงบนกระโปรงที่เปียกเป็นวงๆ เธอสะอื้นเบาๆ ด้วยความเครียด ความเหนื่อยล้า และความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามา
ในหัวเธอเต็มไปด้วยภาพอดีต ภาพของบิดา คุณนพพลชายผู้แสนอบอุ่น ที่เคยอุ้มเธอเล่นในสวนหลังบ้าน รอยยิ้มอ่อนโยนของท่านยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
“ถ้าพ่อยังอยู่…หนูคงไม่ต้องทุกข์ขนาดนี้” เพียงฟ้ากระซิบเสียงสั่น ริมฝีปากสั่นระริก น้ำตาไหลพราก
เธอนึกถึงวันเก่าๆ ที่บ้านยังคงอบอุ่น มีเสียงหัวเราะของสามคนพ่อแม่ลูก มีอาหารเย็นพร้อมหน้า มีคำสอนอ่อนโยนของพ่อ ทุกสิ่งทุกอย่างเคยเป็นบ้านที่มีความสุข…ไม่ใช่บ้านที่กำลังจะถูกยึดไปในอีกไม่กี่วัน
แต่พอท่านจากไป…ทุกอย่างก็เปลี่ยน มารดาผู้แสนอ่อนหวานที่เคยเป็นแม่บ้านแม่เรือน กลายเป็นคนติดพนันจนหมดตัว สมบัติทุกชิ้นที่พ่อทิ้งไว้ให้ถูกขาย ถูกจำนอง ถูกยึดไปทีละอย่างจนไม่เหลืออะไร
“พ่อ…ฟ้าคิดถึงพ่อเหลือเกิน…” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนพูดกับสายลม มือกุมอกตัวเองแน่น น้ำตาไหลลงไม่ขาด
ความทรงจำที่เคยอยู่กันสามคนพ่อ แม่ ลูก แว่วชัดอยู่ในหัว รอยยิ้ม รอยสัมผัส ความอบอุ่นที่เคยโอบกอดเธอ ทุกอย่างตอกย้ำว่าตอนนี้เธอต้องเผชิญความทุกข์เพียงลำพัง
เธอเอื้อมมือเช็ดน้ำตา สูดหายใจลึก พยายามจะเข้มแข็งขึ้น แต่ความเจ็บปวดกลับไม่จางหาย
“หนูจะทำยังไงดีพ่อ…บ้านหลังนั้นหนูกำลังจะรักษามันไว้ไม่ได้…”
เพียงฟ้าก้มหน้าลงอีกครั้ง มือกำแน่นด้วยความมุ่งมั่น แม้ในหัวใจจะบอบช้ำแทบไม่เหลือแรง แต่เธอก็ยังคงสัญญากับตัวเองว่าจะสู้ต่อไป ในเมื่อเธอไม่รู้ตัวว่าเธอไม่น่าจะทำสำเร็จ เธอก็ต้องคิดหาวิธีอื่น แล้วสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเข้าไปหาเขา ก่อนเวลาที่นัดหมายเอาไว้
เสียงรองเท้าส้นเล็กกระทบพื้นหินอ่อนดังสะท้อนในห้องทำงานใหญ่ เพียงฟ้าก้าวเข้ามาช้าๆ หัวใจสั่นระรัว มือที่กำแฟ้มเปล่าๆ สั่นจนแทบจะหลุดจากแรงกดดันรอบกาย