เธอวิ่งหนีแม่ออกจากบ้านพร้อมเสียงหัวเราะสดใสกังวาน ทำตัวเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไม่รู้ความอะไรทั้งนั้น เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าร่างกายของเธอเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนแล้ว
“จะแก้ผ้าอาบน้ำได้ไง” เพราะนอกจากนมจะตั้งเต้าแตกพานแล้ว เนินสงวนอูมอิ่มก็เริ่มมีไรขนอ่อนขึ้นแล้วด้วยสิ แถมแก้มก้นขยับขยายผายออกเล็กน้อย
“เรื่องอะไรจะไป อุตส่าห์รอมาหลายปี”
เธอไม่ยอมไปกรุงเทพฯแน่นอน...เพราะในใจนั้นอยากจะเห็นว่าคนป่าพวกนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
คนป่าที่มาเยือนเธอในความฝันตั้งแต่วัยเยาว์...
ใช่แล้ว...ความจริงเธอฝันเห็นคนร่างยักษ์ที่มีรอยสักดำขาวทั้งตัว อุ้มพาเธอเดินเข้าไปในป่าดงดิบ ลุในกลีบเมฆหมอกสีดำ ย่ำอยู่ในความมืดหม่น แต่กลิ่นหอมรัญจวนชวนลุ่มหลง มาตั้งแต่เป็นเด็กน้อย
เธอไม่เคยเล่าความฝันประหลาดให้พ่อแม่หรือใครฟังเลย เพราะกลัวพ่อแม่จะวิตกกังวล จนไม่ยอมให้เธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านริมเขาอีกต่อไป
ดังนั้น...วันนั้นเธอก็เลยตัดสินใจที่จะโกหกเรื่องประจำเดือน แล้วซ่อนมันไว้จากแม่ให้มิดชิดที่สุด เพื่อจะได้อยู่รอพวกเขา...
และในคืนพระจันทร์เต็มดวงของปีนั้น คืนที่หมอกขาวเต็มฟ้า กลิ่นดอกไม้ป่าอาบคลุมจนผู้คนเริ่มหลับใหลไปพร้อมกับกลิ่นพวกนั้น...
เธอก็ได้เห็นบางอย่างเข้าจริง ๆ นั่นแหละ !
ในคืนพระจันทร์เต็มดวงที่หนาวเหน็บ ทว่า สีของดวงจันทร์นั้นคลับคล้ายเหมือนสีเลือดไม่มีผิด...
ยามที่กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าส่งกลิ่นรุนแรง หมอกขาวลอยเอื่อยในทุกอณูของสายลม
ทุกบ้านทุกครัวต่างพากันดับไฟ ดับทุกสรรพแสง แล้วซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ใต้เตียงนอน ในตู้เสื้อผ้า...
สมาชิกครอบครัวนอนกอดกันด้วยความหวาดกลัว หวาดหวั่น ช่วยกันภาวนาให้ทุกคนรอดปลอดภัยจากคำสาปของชนเผ่าลึกลับ
แต่ในคืนอันน่าสยองนั้น...เด็กหญิงลดาละมัยกลับนั่งมองหน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น กวาดสายตาไปทั่วในความขาวหม่นของสายหมอกประหลาดที่ปกคลุมไปทั้งหมู่บ้าน
“ฮ่าววว...” สาวน้อยหาวจนปากแทบฉีก ทนถ่างตารอจนเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีคนป่าร่างยักษ์โผล่มาเลยสักคน
“ที่แท้ก็แค่...เรื่องโกหก!” ความง่วงงุนทำให้เธอเผลอหลับอยู่ตรงริมหน้าต่างนั่นเอง...