“อืมม...” ทว่า...ในห้วงเวลาระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เธอรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองเธออยู่ สายตาดุดันเลือดเย็นและลมหายใจร้อนเหมือนไฟ รดรินอยู่บนผิวกายของเธอ
“อ่า...” ดวงตากลมโตค่อย ๆ เปิดขึ้นมองเจ้าของลมหายใจชวนชนลุกนั่น...
“โอวว...” เธอสบตากับเขาเข้าอย่างจัง...
ชายร่างสูงใหญ่เกือบสองร้อยเซ็นติเมตร ผู้มีดวงตาสีน้ำเงินดุดันดั่งเสือ ใบหน้าคมคร้ามถูกวาดลวดลายด้วยสีขาวราวกับสีน้ำ ผมผ้าวยาวรกรุงรังเป็นลอน กายแกร่งล่อนจ้อนสุดบึกบึน เต็มไปด้วยรอยสักเหมือนม้าลาย
หัวใจของเธอเต้นรัวแรงเมื่อสบตากับชายในฝันของเธออีกครั้ง ซึ่งทำให้เธอนึกหวาดกลัวว่า...
“ฉันฝันอีกแล้วเหรอ...อะ” ความรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าเกิดกับเธอในวินาทีนั้น เมื่อริมฝีปากของใครบางคนจูบแนบลงบนหลังเท้าของเธออย่างแผ่วเบา แต่สยิวซ่านไปทั้งวิญญาณ
“หืม...” เธอก้มมองส่วนล่างของตัวเองด้วยใจเต้นระทึก รู้สึกถึงพันธนาการที่ไม่อาจหนีพ้น ยามสบตากับชายร่างยักษ์อีกคน เจ้าของดวงตาสีทองร้อนแรงดั่งเปลวไฟ ผู้ที่กำลังสาปเธอด้วยริมฝีปากสีดำทมิฬ
“อา...” หมอนั่นจ้องมองเธอเขม็ง ขณะลากริมฝีปากขึ้นมาตามหน้าขาของเธอทีละนิด อย่างใจเย็น ทำเหมือนกำลังสำรวจรสชาติอาหารอย่างไรอย่างนั้น
“อะ...” ดวงตากลมโตเหลือกโปนด้วยความตกใจ ไม่ใช่เพราะโดนเจ้าดวงตาไฟมันกัดกินหรอกนะ
แต่เพราะเจ้าดวงตาสีน้ำเงินก้มลงจูบดมลำคอของเธอราวกับอสรพิษกระหายเลือด
“อื้อออ...” เธอตกใจตัวแข็งค้าง รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกอนาคอนด้ากลืนกินทีละน้อย...หากนี่คือความฝัน มันก็เหมือนจริงเกินไป...เพราะลมหายใจของพวกเขามันรุนแรงยิ่งกว่าสายลมในคืนวิปโยคนี้เสียอีก
“อื้อ” เธอหลับตาปี๋ รู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง ยามริมฝีปากร้อนเลื่อนไล้ขึ้นมาจนเกือบจะถึงเนินสาวใต้กางเกงตัวน้อย “อย่านะ...อย่าฆ่าฉันเลย”
แต่ไม่ทันที่ผู้บุกรุกจะถึงจุดหมายปลายทาง อยู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าม้านับไม่ถ้วนดังมาแต่ไกล ก่อนจะเป็นเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง...แล้วทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงหริ่งเรไร
“หืม?”
พอเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าพวกเขาหายไปแล้ว ทิ้งเอาไว้เพียงแค่ก้อนหินประหลาดก้อนหนึ่ง
ก้อนหินสีดำที่เธอนำไปทำเป็นจี้ห้อยคอ และแขวนมันไว้กับตัวมาสิบปีแล้ว !
“อืมม...ก็เป็นแค่หินธรรมดา ไม่เห็นจะมีพลังวิเศษอะไรเลย มีเหตุผลอะไรถึงทิ้งไว้นะ”
เธอเก็บมันเอาไว้เพราะอยากจะพิสูจน์อนุภาพของมัน แต่สิบปีมานี้ มันไม่เคยสร้างปาฏิหาริย์ หรือทำให้เธอถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเลยสักครั้ง
“ผลร้ายก็ไม่มี ผลดีก็ไม่เห็น แต่ก็ทิ้งไม่ลง เฮ่อ เหมือนเป็นคำสาปยังไงก็ไม่รู้”