หยางเหล่ยที่ยืนกำหมัดอยู่หลังประตู เขาเพิ่งรู้เอาก็ตอนนี้เองว่าที่จริงบ้านตระกูลกู้ไม่เคยต้อนรับเขา กับแค่เสื้อผ้ายังดูแลให้ดีไม่ได้เลย เขาซักเองยังสะอาดเสียกว่า ทั้งไม่เคยจ่ายค่าขนมให้ บอกเพียงว่าพี่สาวของเขาต้องเลี้ยงดู โยนภาระทั้งหมดให้กับพี่สาวที่เพิ่งจบเพียงมัธยมปลายด้วยซ้ำ
ตอนแม่ตายไปแรก ๆ เขาจำได้ว่าพี่สาวแทบไม่ได้กลับบ้าน เรียนเสร็จก็ไปเปิดร้านยาสมุนไพรนอนค้างที่นั่นจนชิน จะกลับมาก็เพื่อเอาเงินค่าขนมมาให้เขา
ทั้งหมดเป็นเพราะคนไร้ความรับผิดชอบคนนั้น เขาคิดว่าหากออกจากโรงเรียนเขาจะมาช่วยงานที่ร้านก็ยังได้ และไม่คิดกลับไปเหยียบที่นั่นอีก
แต่เมื่อเขากำลังทบทวนอยู่นั้น พี่สาวก็มาเปิดประตูเสียก่อน
“อาเหล่ย...มายืนทำอะไรตรงนี้” ถงถงถาม
“ปะ...เปล่า แล้วนั่นจะไปไหน”
“ไปรักษาคน”
“หากไม่อยากรักษาก็ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องจ่ายค่าเทอมอะไรทั้งนั้น ฉันไม่เรียนแล้ว”
คำพูดของอาเหล่ยคงได้ยินที่เธอพูดกับชายผู้นั้นแล้วสินะ เธอจึงถอนหายใจก่อนจะพูดกับเขาช้า ๆ
“กลับมาค่อยคุยเรื่องนี้กัน บอกเสี่ยวหมิงด้วยว่าให้ดูแลร้านให้ดี ใครมาหาให้มาอีกทีตอนเย็นหากเจ็บป่วยจนทนไม่ได้จริง ๆ ฉันจะรีบไปรีบกลับ”
เธอไม่มีเวลามาพูดอะไรกับเจ้าเด็กหัวรั้นคนนี้ เธอหยิบเงินในกระเป๋าใส่มือเขาหนึ่งหยวน จากนั้นก็รีบออกไปทันทีเพราะเดี๋ยวสายกว่านี้ต้องมีคนไข้รอตรวจ
เธอหยิบยาที่จำเป็นเบื้องต้นมาหลายอย่าง แต่ก็นึกอะไรบางอย่างออกจึงหยิบยาพลิกชีวิตติดมาด้วย คล้ายกับรู้สึกว่าต้องใช้มันในไม่ช้านี้แล้ว
เธอส่งกระเป๋ายาให้คนที่มารับเธอ หลังจากแนะนำตัวเธอจึงรับรู้ว่าคือผู้ช่วยของหานอวี้เหิง เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหานที่มีที่มาลึกลับ
เธอแทบไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยด้วยซ้ำ ทั้งพยายามเสพข่าวจากหนังสือพิมพ์ทุกวัน ได้ยินเพียงคุณชายรอง หานอวี้เฉิงเท่านั้น แต่ทว่าเธอก็ต้องพบหน้าก่อนว่าเขานั้นเป็นโรคอะไร
…รถยนต์ยุโรปสีดำเคลื่อนผ่านถนนสายหลัก เข้าสู่ถนนส่วนตัวที่ทอดยาวกลางทิวสนแน่นทึบ ยิ่งเข้าใกล้คฤหาสน์ เส้นทางยิ่งเงียบสงัด ราวกับโลกภายนอกถูกปิดกั้นเอาไว้
กู้ถงถงนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ดวงตากวาดมองรอบกายพลางกำกระเป๋ายาแน่นเพื่อลดความประหม่า เธอไม่นึกว่าจะมาไกลถึงนอกเมืองทางตะวันตกเช่นนี้ บอกตรง ๆ ว่าตั้งแต่เกิดใหม่ในร่างนี้ครั้งนี้เธอเพิ่งเดินทางไกลกว่าร้านขายยาตระกูลหวังเป็นครั้งแรก
คฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ชานเมืองนี้…เธอเคยได้ยินคนที่มารักษาพูดอยู่บ้าง ยิ่งป้าหลี่ขายโจ๊กที่เป็นป้าที่สนิทของเจ้าเสี่ยวหมิงนั้นหากแวะมาที่ร้านนอกจากเอาของมาฝากก็ยังแวะเวียนมาพูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่ว่าจะสามีบ้านนั้นมีเมียน้อย หรือลูกสาวบ้านนั้นแอบคบหากับชายที่อยู่ต่างเมือง หรือเรื่องชู้สาวของคนในตลาดก็จะได้ยินเป็นประจำ
แต่สำหรับคุณชายใหญ่ผู้นี้ เขา ลึกลับและเป็นความลับที่สุด ไม่เคยมีใครเห็นหน้าชัด ๆ สักครั้งพลางทำให้เธอคิดว่าเขามีใบหน้าที่น่าเกลียดหรือเปล่า ทำไมต้องหลบซ่อนตัวตนอยู่ในมุมมืด
ขณะคิดอย่างเพลิดเพลินรถหยุดลงหน้าประตูเหล็กบานใหญ่ที่เปิดโดยคนเฝ้าประตูที่เธอไม่ได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำ เสียงล้อบดกับพื้นกรวดสะท้อนคล้ายเสียงเตือนให้เธอระวังตัว จนกระทั่งรถแล่นเข้าไปจอดด้านในถึงหน้าประตูบ้านหลัก
ซินลู่เปิดประตูให้เธอ
“เชิญครับ คุณชายรออยู่แล้ว”
เธอเงยหน้าขึ้นมองอาคารสถาปัตยกรรมจีนผสม บารอกตรงหน้า…และสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด และพูดกับตัวเองในใจ
ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
ประตูห้องรับแขกบานใหญ่ถูกเปิดออกอีกครั้งเมื่อเธอก้าวเข้าไป แสงไฟสีอำพันสะท้อนเสี้ยวหน้าของชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ในเงามืดหลังโต๊ะไม้สัก
เขาไม่ได้ขยับไปไหน
เพียงแค่หันหน้ามามองเธอ
…สายตานั้นเรียบ เย็น และคมราวใบมีด พลันทำให้เธอรู้สึกขนลุกชันไปทั่วทั้งหลัง ทั้งบรรยากาศที่อึมครึมไม่มีแสงลอดผ่านเพราะปิดผ้าม่านเอาไว้ มีเพียงแสงสีส้มนวลเท่านั้นที่ส่องสว่างอยู่ในห้องมืด ๆ แห่งนี้
‘เขาเป็นแวมไพร์หรือไง?’ เธอตั้งคำถามที่เป็นไปไม่ได้ในใจขึ้นมา
กู้ถงถงสบตาเขาโดยไม่หลบสายตา แผ่นหลังตั้งตรงเมื่อเขาหันหน้าเพียงครึ่งหนึ่งมา จนกระทั่งรอชั่วอึดใจเขาถึงหันหน้ามาตรง ๆ แต่รอบข้างไม่มีใครเงยหน้ามองเขาเลยสักคน
“คุณคือหมอ?”
เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นในที่สุด และนั่นมันเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและความไม่เชื่อใจ ผิดกับใบหน้าหล่อแบบพระเจ้าสร้างโดยสิ้นเชิง
“ไม่ใช่หมอรักษาคนไข้ค่ะ แต่ฉันเป็นแค่หมอยา”
ใช่เธอเป็นแค่เภสัชในโลกที่จากมา เป็นแค่หมอยาที่รู้ว่าเป็นโรคอะไรจะรักษาด้วยยาอะไร
คำตอบนั้นเรียบง่าย แต่หนักแน่นพอจะทำให้
หานอวี้เหิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
เธอมองเขาเต็มตา…และในชั่วครู่เธอสำรวจอย่างรวดเร็วก็รู้ได้ทันที เส้นเลือดฝอยตรงขมับมีสีคล้ำบางจาง
สีผิวบริเวณนิ้วมือซีดจัดแบบที่ไม่ได้เกิดจากอากาศหนาว ดวงตาคล้ายมีรอยแดงแผ่บาง ๆ บ่งบอกถึงอาการภายในที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
“ขอจับชีพจรหน่อยค่ะ และก็กรุณาเปิดม่านเพื่อให้แสงสว่างเข้าถึงด้วยค่ะ” เธอบอกออกไปในที่สุดและกำลังรอคำอนุญาตจากเขา
เขาเงียบ...และมองจ้องเธอนิ่ง ๆ
ก่อนจะวางมือข้างหนึ่งบนโต๊ะให้เธอจับ แต่ไม่ยอมเปิดม่าน
“เปิดม่านด้วยค่ะ” เธอเอียงคอให้เขารู้ว่าอีกสิ่งที่เธอต้องให้เขาทำ และต้องทำเดี๋ยวนี้
เขายกมือขึ้นจากนั้นคนที่อยู่ในมุมมืดแต่ละคนเดินออกมา รั้งม่านที่ไม่เคยเปิดเลยสักครั้งขึ้นเป็นครั้งแรก แสงที่ผ่านหน้าต่างกระจกสาดส่องเข้ามาทำให้เธอแสบตา จนยกมือขึ้นป้อง จากนั้นเมื่อปรับสายตาให้สู้แสงได้จึงเริ่มการตรวจ
กู้ถงถงแตะข้อมือเขาอย่างแผ่วเบา พอปลายนิ้วสัมผัส…เธอก็รู้ทันที
ชีพจรนั้นเต้นเบา ผิดจังหวะเป็นระยะ ราวกับเลือดในกายเดินไม่เป็นระบบ
ไม่ใช่เพียงแค่ ‘โรคทั่วไป’ แต่เป็น…
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเรื้อรังจากระบบประสาทอัตโนมัติถูกรบกวนจากยาบางตัว ร่วมกับการสะสมพิษในตับระดับลึก และคาดว่าน่าจะได้รับมานานหลายปี
อาการแบบนี้เกิดจากการได้รับสารบางอย่างที่ส่งผลระยะยาวโดยตรงต่อระบบเส้นประสาทและการไหลเวียน
หากไม่รักษา…จะลุกลามไปถึงหัวใจและสมองในไม่ช้า และที่สำคัญ… ไม่มีหมอที่ไหนกล้ารักษา
เพราะคนไข้ที่เคยไปรักษา อาการกลับทรุดลงเหมือนโดน ‘กระตุ้นพิษ’ ขึ้นมาแทน และนั่นเพราะใช้ยากระตุ้นไม่ถูกหลัก
กู้ถงถงผละมือออกแล้วถอนหายใจเบา ๆ
“อาการคุณ…ไม่ธรรมดาเลยค่ะ”
“งั้นฉันรักษาไม่ได้?” เสียงเขาเหมือนท้าทาย
แต่เธอกลับส่ายหน้า นั่นทำให้คนถามแปลกใจ
“เปล่าค่ะ…ฉันรักษาได้ แต่ก่อนจะรักษา ฉันขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”
“…” เขานิ่ง
“คุณอยาก ‘มีชีวิตอยู่’ เพื่อแก้แค้นหรือเปล่า?”
คำถามนั้นทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที
ซินลู่ที่ยืนอยู่ข้างหลังถึงกับขยับตัว แผ่นหลังเขาเย็นเหยียบคล้ายกับยืนท่ามกลางหิมะ
ส่วนหานอวี้เหิงมองเธอนิ่ง ๆ ริมฝีปากบางกระจับได้รูปกระตุกขึ้นช้า ๆ
“คำถามแบบนี้…ฉันชักเริ่มเชื่อแล้วว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดา”
กู้ถงถงหยิบขวดยาสีดำขนาดเล็กออกจากกระเป๋า
“นี่ไม่ใช่ยาธรรมดา มันคือ ‘ยาพลิกชีวิต’ฉันมีอยู่สองเม็ด…และคุณเป็นคนแรกที่ฉันคิดจะใช้มัน”
เขามองขวดยานั้นนิ่ง ๆ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รักษา และก็ไม่ได้รู้สึกว่าหากเสี่ยงแล้วเขาจะเจ็บปวดมากขึ้นหรือเปล่า ชีวิตที่ผ่านมาเขามีชีวิตแค่หายใจทิ้งไปวัน ๆ
เขาหยิบไวน์ขึ้นจิบแต่เมื่อจรดปากแตะขอบแก้วกลับได้ยินเสียงของเธอกล่าว
“กินเข้าไปเลย กินเยอะ ๆ มันช่วยได้ค่ะ”
เขาขมวดคิ้วพลางถาม “มันช่วยให้หายเร็ว?”
“ตาย!”
คำสั้น ๆ แต่ทำให้เหล่าบอดี้การ์ดขยับตัว ก่อนจะถูกสั่งห้ามแค่เพียงใช้สายตากราดมอง จากนั้นก็ถอยห่างออกไป
เขาชักชอบเธอเสียแล้วสิ...มุมปากของเขายกขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“เธออยากได้อะไร”