บทที่ 2
Daniel part
หลังจากที่มิล่าเดินออกไปแล้ว ผมก็ก้าวขายาวๆ ของตัวเองกดเข้าลิฟต์สำหรับผู้บริหารเพื่อลงไปชั้นล่างทันทีด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะคงที่เท่าไหร่...
ติ๊ง.
ไม่นานลิฟต์กระจกใสที่สามารถมองเห็นข้างนอกได้180องศาก็ลงมาจอดชั้นล่างพร้อมกับประตูลิฟต์ที่เปิดออก ผมจึงเดินล้วงกระเป๋ากางเกงออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง...
ตึก ตึก ตึก
แต่ในขณะที่ผมกำลังเดินเพื่อออกไปยังประตูทางออกของบริษัทที่มีรถของลูกน้องจอดรออยู่ สายตาผมดันเหลือบไปเห็นผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่มาบริษัทผมเมื่อตอนเที่ยงกำลังเปิดประตูฝั่งข้างคนขับเพื่อให้มิล่าได้เข้าไปในรถ แต่พอแม่งกำลังจะปิดประตูรถมันดันหันมาทางผมพอดี ทำให้ผมกับมันยืนจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่งโดยไม่มีใครยอมละสายตาจากกัน ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายแสยะยิ้มท้าทายผม แล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถและขับออกไป...
“หึ คิดว่าจะกวนประสาทฉันด้วยการเอาไอ้เวรนี้มาเย้ยฉันเหรอว่ะมิล่า!” ผมพูดออกมาพร้อมกับเผลอกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ที่เห็นมิล่าออกไปกับคนอื่นต่อหน้าต่อตาถึงสองครั้งในวันเดียวกัน ที่ต้องบอกว่าสองครั้งก็เพราะตอนเที่ยงแม่งก็มารับเมียผมไปแล้วครั้งหนึ่ง ผมถึงได้หงุดหงิดหัวร้อนอยู่ในห้องทำงานแล้วพาลไปลงที่มิรันที่มาหาผมพอดีไง ส่วนครั้งที่สองก็คือตอนนี้ที่มารับเมียผมกลับไป
“เอ่อ...นายครับ ครูที่โรงเรียนคุณหนูโทรมาบอกว่าตอนนี้คุณหนูเริ่มงอแงแล้วครับ” เสียงไอ้แซคลูกน้องคนสนิทของผมเอ่ยเรียกผมอยู่ข้างๆ ผมจึงหันไปหามันด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นรถไป...
@โรงเรียนนานาชาติ RM
“ปะป๋าขา~” ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในบริเวณโรงเรียนซึ่งเตรียมไว้สำหรับผู้ปกครองมารับลูก ลูกสาวตัวน้อยวัยสี่ขวบของผมก็วิ่งแจ้นมากอดขาผมทันที ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างง้องอนที่ผมมารับเธอช้า...
“วันนี้ปะป๋ามารับน้องแอลช้า น้องแอลจะกลับไปฟ้องมะมี้” หึ ป๊าก็อยากฟ้องหนูเหมือนกันว่าหม่ามี๊หนูไปกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ป๊า ผมโคตรอยากจะฟ้องประโยคนี้ให้ตัวแสบฟังฉิบหายเธอจะได้กลับไปจัดการแทนผม
“ปะป๋าทำตัวแปลกๆ” ลูกสาวผมเธอคงสังเกตเห็นว่าผมนิ่งไปมั้งถึงได้พูดแบบนั้นออกมาแถมยังเงยหน้ามามองผมด้วยสีหน้าสงสัยอีก คือมีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกให้ทราบคือ เอลล่าเป็นเด็กที่จะไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งกับพ่อแม่ของเธอ ถ้าคนๆ นั้นไม่ใช่ผมหรือมิล่าที่อยู่ด้วยกัน เธอก็จะงอนไม่คุยด้วยทันที ผมถึงบอกไง ว่าอยากฟ้องลูกเหมือนกันว่าเมื่อกี้แม่ของลูกไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม
“เปล่าครับ ป๊ากำลังดูว่าเด็กผู้ชายคนนั้นใช่เพื่อนหนูรึเปล่า” ผมอุ้มเอล่าขึ้นแนบอกพร้อมกับพยักหน้าไปทางเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังมองมาทางเราสองคน
“ลูก้า! เขาเป็นเพื่อนของน้องแอลเองค่ะ”
“เหรอคับ แล้วน้องแอลไม่มีเพื่อนผู้หญิงเหรอหืม? ทำไมต้องคบกับเพื่อนผู้ชาย” ใช่ครับ ผมเป็นคนที่โคตรห่วงลูกสาวมาก มากถึงมากที่สุดเพราะมันมีอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมต้องเป็นห่วงเธอ ถึงแม้จะเป็นไอ้เด็กสี่ขวบตรงหน้าผมก็ตาม
“ลูก้าเขาน่ารักดีนะคะปะป๋า เขาแบ่งขนมกับชวนน้องแอลเล่นสไลเดอร์ตลอดเลย” ลูกสาวผมเอ่ยชมเพื่อนตัวเองด้วยหน้าตาที่โคตรจะเบ่งบาน จนพ่ออย่างผมยังแอบหมั่นไส้ เหอะแม่ก็ไปกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตา ลูกยังมาชมผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตาอีก โคตรน้อยใจเลยวะ
“ครับ แต่ป๊าว่าหนูควรหาเพื่อนผู้หญิงมาเล่นด้วยนะครับ” ผมเอ่ยบอกลูกสาวพร้อมกับหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดรออยู่เพื่อไปส่งเด็กแสบให้ถึงมือแม่ของเธอก่อนเวลาจะครบหนึ่งชั่วโมงตามที่ได้รับคำสั่งมา ถ้าเลยเวลาที่เธอบอกไว้ละก็ ไม่งั้นคราวหน้าผมอาจจะอดมารับมาส่งเอลล่าแน่นอน
ภายในรถ
“ปะป๋าขา~ น้องแอลอยากได้ตุ๊กตาบาร์บี้ตัวใหม่ค่ะ ตัวเก่ามันมอมแมมหมดแล้ว” ในขณะที่ผมกำลังยกไอแพดดูงานอยู่ในมือ เอลล่าก็เอ่ยออกมาพอดี ผมจึงรีบวางไอแพดไว้ข้างกายแล้วหันไปสนใจลูกแทน
“ได้ค่ะ แต่วันนี้ยังไปซื้อไม่ได้นะคะ เพราะหม่ามี้ให้ป๊าไปส่งหนูภายในหนึ่งชั่วโมง”
“แต่แอลจะเอาวันนี้นี่ค่ะ” แอลล่ายกมือขึ้นมากอดอกแล้วทำหน้ามู่ทู่ให้ผมเห็นทันทีที่ไม่ได้ดั่งใจเธอ ซึ่งผมโคตรจะเอ็นดูกับท่าทางนั่นของลูกฉิบหาย ทำไมน่ารักอย่างนี้ว่ะ
“ถ้าป๊าพาแอลไปวันนี้ วันอื่นมี้เขาไม่ให้ป๊ามารับลูกแล้วน่ะ”
“เห่อ~”
“หึ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ทันทีที่เห็นเอลล่าซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ผมทำหน้าถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ที่ผมไม่สามารถตามใจเธอได้
“แต่พรุ่งนี้ป๊าไม่ทำงาน เดี๋ยวตอนเช้าป๊าให้แซคไปรับลูกแล้วเดี๋ยวเราค่อยไปซื้อกัน โอเคมั๊ยครับ”
“โอเค้ขา!! น้องแอลรักปะป๊าที่สุดในโลกเล้ย” ทันทีที่ผมให้ทางเลือกใหม่ เอลล่าก็ตะโกนร้องด้วยความดีใจลั่นรถทันที ซึ่งทุกคนในรถคันนี้จะชินกับเหตุการณ์แบบนี้หมดแล้วครับ ถึงแม้จะมีแสบแก้วหูบ้างในบางครั้งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งตัวผมเองก็ตาม...
ด้านมิล่า...
“เมื่อกี้ที่ผมเห็นตอนก่อนจะขึ้นรถ เขาใช่เจ้านายคุณรึเปล่าครับ” ในขณะที่ฉันกำลังเอาแต่มองถนนใหญ่ข้างหน้า จู่ ๆ ฟีนิกซ์ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนฉันแอบสะดุ้งตกใจ
“ขอโทษครับผมคงทำให้คุณตกใจ” ฟีนิกซ์หันมาขอโทษฉันพร้อมกับหันมายิ้มอ่อนให้ ก่อนที่เขาจะหันไปขับรถต่อ...
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ พอดีฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นะคะ เมื่อกี้คุณถามว่ายังไงนะคะ”
“ไม่มีอะไรครับ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
“อ๋อค่ะ”
ไม่ใช่ว่าที่ฟีนิกซ์ถามมาเมื่อกี้ฉันไม่ได้ยินหรอกน่ะ ฉันได้ยินแต่ฉันเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยินมากกว่าเพราะไม่อยากจะพูดถึงเรื่องของเดเนียลกับคนอื่นเท่าไหร่นัก ไม่รู้สิฉันแค่ไม่อยากพูดถึงคนใจร้ายแบบนั้นเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็น...
อ้อ...ฉันคิดว่าตอนนี้ทุกคนคงกำลังสงสัยว่าฟีนิกซ์คือใครและมีความสัพันธ์กับฉันยังไง ทำไมเขาถึงได้มารับฉันกลับบ้านด้วย อันนี้ก็ต้องตอบว่าฉันกับฟีนิกซ์เราไม่ได้เป็นอะไรกันแต่เราก็พอจะรู้จักกันดีประมาณหนึ่งอาจจะไม่ถึงขั้นสนิทมาก แต่เขาก็เป็นผู้ชายที่น่ารักให้เกียรติและน่าไว้ใจคนหนึ่งที่ฉันรู้จักตอนนี้
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เราได้รู้จักกันก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน ก่อนที่ฉันจะกลับมาประเทศไทย ก็คือตอนนั้นฉันไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตคนเดียวแต่ฉันดันทำกระเป๋าตังค์หายในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่โชคดีที่ฟีนิกซ์เป็นคนเจอแล้วเอามาคืนให้ฉัน เราเลยได้ทำความรู้จักกันและคุยกันไปมาอยู่สักพักก็เลยรู้ว่าเขาก็เป็นคนไทยเหมือนกัน มาพักร้อนอยู่ที่อังกฤษได้ปีกว่าแล้ว แต่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ในเมืองเดียวกันกับฉันได้ไม่นาน ซึ่งหลังจากวันนั้นเราสองคนก็บังเอิญได้เจอกันบ่อยในที่เดิม ๆ ก็คือซูเปอร์มาร์เก็ต เราเลยได้รู้จักกันมาเรื่อย ๆ จนได้แลกไลน์คุยกันในที่สุด และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราสนิทกัน
ส่วนเรื่องที่ฉันได้มาทำงานกับเดเนียล มันเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้มาคุยตกลงกันไว้ หลังจากที่เดเนียลบินไปหาฉันจนพบและบังคับพาฉันกลับมา ซึ่งสาเหตุที่ฉันยอมกลับมาก็เพราะเรื่องทางบ้านของฉันที่กำลังประสบปัญหาเรื่องการเงินเพราะบริษัทกำลังจะล้มละลาย ซึ่งทางครอบครัวเดเนียลเป็นคนเสนอจะช่วย ถ้าฉันยอมให้เดเนียลเซ็นรับเป็นพ่อของเอลล่า และพร้อมจะรับผิดชอบค่าเลี้ยงดูเอลล่ากับฉันทุกอย่าง แต่ก็นั่นแหละถึงฉันอยากปฏิเสธไปมากแค่ไหนฉันก็ทำไม่ได้ อีกอย่างถ้าฉันปฏิเสธทุกอย่างขึ้นมาฉันคงจะกลายเป็นลูกที่เลวขึ้นมาทันทีที่เห็นแค่เรื่องส่วนตัวของตัวเองโดยที่ไม่สนใจเรื่องภายในครอบครัวที่กำลังลำบาก ฉันก็เลยต้องมานั่งทนเห็นหน้าคนที่เกลียดอยู่ทุกวันนี้ไง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากอัปเดตก็คือ หลังจากที่ฉันไม่ได้เจอเดเนียลตั้งสี่ปี ฉันกำลังรู้สึกว่าเขากำลังมีเรื่องปิดบังฉัน เขาเหมือนไม่ใช่คนเดิมที่ฉันเคยรู้จักเหมือนสมัยตอนเรียนมหาวิทยาลัยที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายโดยที่ไม่ต้องสนใจอะไร แต่ปัจจุบันเขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและเหมือนกำลังแบกรับอะไรหลายๆ อย่างไว้กับตัว เพราะฉันสังเกตได้จากที่ลูกน้องเขาชอบเข้าไปคุยเรื่องงานกับเขาเป็นชั่วโมงและมักจะออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดตลอด แต่ก็ช่างมันเถอะเพราะนั่นไม่ใช่ประเด็นสำหรับฉัน ประเด็นหลักของฉันก็คือ เมื่อก่อนเขาเลวยังไงตอนนี้ก็ยังเลวเหมือนเดิม และเลวมากๆ ด้วยที่กล้าพาผู้หญิงไปเอาในห้องทำงานทั้ง ๆ ที่ฉันก็อยู่...เหอะ!
“คุณมิล่า...”
“คุณมิล่าครับ”
“อะเอ๋อ คะคะ”
“ถึงคอนโดคุณแล้วครับ”
“อ๋อค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“วันนี้คุณเหม่อบ่อยนะครับ มีอะไรเกิดขึ้นที่ทำงานของคุณรึเปล่า เล่าให้ผมฟังได้นะ”
“ไม่มีหรอกค่ะ ฉันแค่ง่วงๆ ในช่วงตอนเย็นนะคะ ก็เลยเหม่อบ่อย ฉันไปแล้วนะคะ” ฉันรีบปฏิเสธออกไปพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนๆ กลับไปให้ฟินิกซ์...
“ครับ”
เมื่อเขาไม่ได้ว่าอะไรต่อฉันจึงหันไปเปิดประตูรถแล้วลงจากรถของเขาตามด้วยโค้งเบาๆ ให้เขาเพื่อเป็นการขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินตรงเข้าไปในคอนโด แต่ระหว่างที่ฉันกำลังเดินอยู่สายตาฉันก็ดันเหลือบไปเห็นรถยนต์ยี่ห้อดังสีดำสองคันกำลังขับเข้ามาจอดเทียบหน้าคอนโดพอดี ชายชุดสูทสีดำหนึ่งในรถคันนั้นลงมาเปิดประตูให้บุคลที่นั่งในห้องด้านหลังรถ ไม่นานร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีกรมที่ฉันเห็นมาทั้งวันอย่างเดเนียลก็อุ้มเอลล่าลูกสาวของฉันลงมาจากรถ และพวกเขากำลังเดินตรงมาทางฉัน
“มามี๊ขา~”
“จุ๊ๆ เบาๆ ค่ะเอลล่า” ฉันยกมือขึ้นมาทำท่าจุ๊ปากเป็นการปรามลูกสาวออกไปทันทีที่เธอกำลังเปิดปากเรียกฉันเสียงดัง จนพนักงานและคนอื่นๆ หันมาทางเรากันหมด ฉันจึงต้องหันไปก้มขอโทษเบาๆเพราะที่ล็อบบี้แห่งนี้เป็นที่สาธารณะ อีกอย่างเสียงดังนิดหน่อยเสียงก็พร้อมก้องกังวานไปทั่วสารทิศแล้ว
“คิคิ” เอลล่าน่ะเอลล่า ยังมาหัวเราะคิกคักอยู่อีก ชอบทำให้ฉันปวดหัวจริงๆ เลยยัยตัวแสบ ฉันนึกบ่นออกมาเบาๆ ที่ลูกสาวชอบแกล้งเรียกฉันแบบนี้เป็นประจำถ้าเมื่อไหร่ที่เห็นฉันอยู่ในที่มีคนอื่นอยู่ด้วยเธอก็มักจะแกล้งเรียกฉันเสียงดังตลอด น่าตีจริงๆ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ป๋าให้แซคมารับนะครับ” หลังจากที่ใช้เวลาเดินมาหาฉันไม่นาน สองพ่อลูกก็มาถึงตัวฉันและทันทีที่ถึงตรงหน้าฉัน เดเนียลก็หันไปพูดกับเอลล่าก่อน ก่อนที่จะส่งตัวลูกสาวมาให้ฉันอุ้มต่อ
“โอเคค่ะ” ฉันไม่รู้หรอก ว่าสองพ่อลูกเขาไปนัดไปตกลงอะไรกันไว้ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะถาม เพราะฉันรู้ว่า ถ้าหากเดเนียลเขาจะพาลูกสาวฉันไปไหน ฉันหายห่วงเรื่องความปลอดภัยได้ เพราะหมอนี้เขารักและเป็นห่วงลูกยิ่งกว่าอะไร
“งั้นป๊าแล้วน่ะครับ” เดเนียลเอ่ยลากับลูกสาวเสร็จก็หันมามองหน้าฉันแวบหนึ่งก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินออกไป
แต่....
“ปะป๋า! ปะป๋าลืมหอมแก้มน้องแอล” นั้นไง ฉันว่าแล้วว่าลูกต้องทวง
“ขอโทษครับ”
หลังจากที่เดเนียลโดนทวงหอมแก้มจากลูกสาวแล้ว เจ้าตัวก็หมุนตัวกลับมาหาลูกทันที ก่อนจะยื่นจมูกโด่งเป็นสันของตัวเองเข้าใกล้แก้มเอลล่าที่มีใบหน้าหน้าฉันอยู่ใกล้ๆ
จุ๊บ
“คิกคิก มามี๊กับปะป๋าจุ๊บๆ กัน”
พรึบ!
“แอล! ทำไมหนูทำแบบนี้ล่ะลูก ไม่น่ารักเลยน่ะ” ใช่ค่ะ จังหวะที่เดเนียลกำลังยื่นจมูกจะมาหอมแก้มเอลล่า จู่ ๆ ยัยตัวแสบก็เบี่ยงหลบจมูกของพ่อตัวเอง ทำให้องศาของปากเดเนียลแตะลงมาที่ปากฉันพอดี
“เธอจะไปดุลูกทำไม มันก็แค่จูบปาก มากกว่านี้ฉันก็เคยทำมาแล้วมั๊ยว่ะ” เดเนียลที่เห็นว่าฉันดุลูกเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจทันที เหอะแต่ยังมีหน้ามาทำหน้าไม่พอใจใส่ฉันอีกน่ะ คนที่ควรจะทำหน้าแบบนั้นคือฉันไหมล่ะ แล้วที่บอกว่ามากกว่านั้นก็เคยทำมาแล้ว จะมารื้อฟื้นความทรงจำห่วยแตกพวกนั้นต่อหน้าลูกทำไม
“เงียบไปเลยเดเนียล”
“น้องแอล ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” แต่ตาบ้าเดเนียลก็ทำเป็นเมินไม่รู้ไม่ชี้กลับมา โดยที่ไม่สนใจเสียงดุของฉันเลยสักนิด ก่อนจะโบกมือลากับลูกแล้วหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม
เหอะ! หมอนี้ชักจะทำให้ฉันหงุดหงิดเข้าไปทุกวันแล้วนะ เมินฉันไม่พอก่อนไปยังหันมามองด้วยห่างตาใส่ฉันอีก เดี๋ยวแม่จิ้มตาให้บอดซะนี่!