“นึกยังไงมากินข้าวที่นี่คะ”
คณานางค์ชวนหนุ่มรุ่นพี่คุย ที่บอกว่าพวกเขาคือรุ่นพี่ของเธอนั่นเพราะเธออายุน้อยกว่าพวกเขาหนึ่งปี แต่เพราะเข้าเรียนไวกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน เธอจึงได้เรียนพร้อมกับคนที่อายุมากกว่า แถมด้วยความที่เป็นสาวตัวเล็กน่ารักทำให้เธอกลายเป็นเหมือนน้องสาวของทุกคนในกลุ่มไปโดยปริยาย
“ก็ไอ้ฤทธิ์น่ะสิ บอกว่าอยากจะมากินข้าวกับเมียมัน”
เมธาวินบอกพลางหันไปมองทางกัญญาดาที่ทำตาขวางใส่เหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อเขาอีกคน
“พูดดีๆ นะโดม เดี๋ยวตีนก็ลั่นใส่หน้าอีกคนหรอก”
“แกก็อย่าโหดนักสิกุ้ง เพราะแกดุแบบนี้ไงไอ้ฤทธิ์มันเลยชอบแกล้งน่ะ” เมธาวินยิ้มบางก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ อย่างระอาใจ
“มันแกล้งกุ้งเพราะมันเป็นคนกวนตีนหรอก เกี่ยวอะไรกับกุ้งล่ะ แล้วนี่เพิ่งสอบเสร็จเหรอ หรือว่ามัวแต่ให้ไอ้สองตัวนั่นลอกข้อสอบอยู่เลยมาช้า”
“เปล่า เราสามคนสอบเสร็จนานแล้ว แต่อาจารย์ให้ช่วยยกข้อสอบไปที่ห้องพักให้น่ะ เลยต้องรอคนอื่นสอบเสร็จหมดก่อนถึงจะได้มานี่แหละ”
“อ้อ แล้วเป็นไงล่ะ เทอมนี้จะเอาเอกี่ตัวจ๊ะพ่อเด็กเรียนดี”
กัญญาดาเอ่ยถามเพราะในระดับชั้นของพวกเขาเมธาวินเป็นคนที่เรียกได้ว่าทั้งเรียนดีและกีฬาเด่นครบเครื่องไปหมด ไม่แปลกใจที่จะมีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องทั้งคณะเดียวกันและต่างคณะมาชอบมากมาย แต่เหมือนเมธาวินจะไม่ได้ชอบใครเลยสักคน
“ก็เหมาหมดทุกวิชาแหละ จะได้ไม่เสียเวลาที่ตั้งใจอ่านหนังสือมานาน แต่กุ้งกับคะน้าก็น่าจะผ่านฉลุยแล้วมั้ง ติวให้หมดแล้วนี่ข้อสอบก็ออกตรงตามที่ติวด้วย”
“จริงค่ะ ที่พี่โดมติวให้ออกหมดเลย นี่หนูยังว่าจะชวนพี่กุ้งพาพี่โดมไปเลี้ยงข้าวที่ร้านหนูอยู่เลยนะคะ เพื่อตอบแทนครูโดมที่เมตตาไม่งั้นเราสองคนคงไม่สอบเสร็จไวแบบนี้หรอก”
คณานางค์บอกอย่างอารมณ์ดีก่อนจะคีบลูกชิ้นส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ที่บ้านของเธอเปิดร้านอาหารไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปกติเวลาสอบเสร็จเธอก็มักจะชวนเพื่อนๆ ไปฉลองที่ร้านเสมอ
“เลี้ยงที่ร้านป๊าของคะน้าคงไม่เรียกว่าเลี้ยงหรอก เอางี้ เดี๋ยวรอปิดเทอมก่อน เราค่อยไปที่ผับกัน”
“ผับเหรอคะ แต่...ป๊าหนูคงไม่ให้ไปแน่เลยค่ะ”
“ก็ไม่ต้องบอกว่าไปที่ไหนสิ บอกแค่ว่าจะไปฉลองสอบเสร็จก็พอ แล้วก็ค้างที่คอนโดพี่เลย ตอนเช้าพี่ค่อยไปส่งบ้านอีกที”
“แต่...หนูดื่มไม่เป็นนะคะ”
“โถ แม่หนูน้อยของเจ๊กุ้ง เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลยจ้ะ เดี๋ยวเจ๊สอนเอง รับรองว่าอีกไม่นานจะได้กลายเป็นสาวคอทองแดงแน่นอน”
“เรื่องไม่ดีก็ไม่ต้องไปสอนน้องหรอกกุ้ง เดี๋ยวคะน้าก็ใจแตกกันพอดี” เมธาวินบอกเพราะรู้ว่าคณานางค์นั้นอ่อนต่อโลกขนาดไหน ตอนเจอเธอวันแรกแล้วรู้ว่าเธอเรียนคณะเดียวกันเขายังนึกแปลกใจ เพราะมันดูไม่เข้ากับเธอเลยสักนิด
“แค่ดื่มเบียร์จะใจแตกอะไรกันเล่า ถ้าไม่ให้สอนตอนนี้แล้วจะได้สอนตอนไหน พอขึ้นปีสามก็ต้องออกไปฝึกงานกันแล้ว เกิดอีกหน่อยคะน้าไปเที่ยวกับคนอื่นแล้วเจอผู้ชายมอมเหล้าขึ้นมาไม่แย่หรือไงล่ะ นายก็อย่าห่วงน้องมันมากนักเลย คะน้ามันโตแล้วนะ”
“แต่น้องเพิ่งจะสิบเก้าเองนะจะเข้าผับได้ยังไงกันล่ะ ตามกฎหมายเค้าให้คนที่อายุยี่สิบขึ้นไปถึงจะเข้าได้ไม่ใช่เหรอ”
“จริงด้วยสินะ งั้น...เอางี้ ไปแค่ร้านอาหารกึ่งผับละกัน แบบนั้นไม่ต้องตรวจบัตร เมาได้เหมือนกัน”
“นี่สรุปว่าจะให้น้องมันเมาให้ได้เลยใช่มั้ย”
“ก็ของมันต้องลองไง เอาน่า แกก็อย่าทำตัวเป็นป๊ามันเลย ถ้าห่วงน้องก็คอยช่วยกันดูแลอย่าให้มันโดนใครลากไปกินตับก็พอ”
“กินตับ? เรากินตับในผับไม่ได้เหรอคะ”
คำถามนั้นเล่นเอากัญญาดาและเมธาวินได้แต่หลุดขำออกมา ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นวางบนศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู โดยไม่สนใจเลยว่าสาวๆ แถวนั้นพากันอิจฉาคณานางค์ขนาดไหนที่เขากับเธอดูจะสนิทสนมกันแบบนี้
“เด็กหนอเด็ก คำว่ากินตับที่ไอ้กุ้งมันบอกน่ะ มันไม่ได้หมายถึงว่ากินตับจริงๆ หรอก แต่มันเป็นคำเปรียบเทียบน่ะความหมายจริงๆ ก็คือมีเซ็กส์นั่นแหละ” เขาบอกยิ้มๆ
“มะ...มีเซ็กส์เหรอคะ”
คณานางค์ถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้ก่อนที่แก้มขาวๆ จะเริ่มแดงก่ำขึ้นมาด้วยความอาย ส่วนกัญญาดาก็ได้แต่ยิ้มขันให้สาวน้อยไร้เดียงสาคนนี้
ถึงเธอจะไม่เคยมีประสบการณ์บนเตียงกับใครก็เถอะ แต่คำศัพท์ใต้สะดือเธอก็เข้าใจเป็นอย่างดีเพราะได้ยินพวกช่างที่อู่ซ่อมรถของบิดาคุยกันเป็นประจำ
“ไม่ต้องห่วงหรอก มีพี่อยู่ทั้งคนรับรองว่าไม่มีใครแตะต้องคะน้าได้แน่นอน” เมธาวินบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณค่ะ”
เธอมองสบดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม ยิ่งเมื่อเขาลูบหัวเธอเบาๆ ในใจมันก็รู้สึกหวิวๆ เหมือนจะเป็นลมเสียให้ได้
และน่าแปลกที่ความรู้สึกแบบนี้ มักจะเกิดขึ้นกับเมธาวินแค่คนเดียว เพราะต่อให้จะเคยโดนวฤทธิ์กับคีตกาลโอบไหล่หรือลูบหัวมาบ้าง แต่เธอกลับไม่ได้ตื่นเต้นแบบที่เมธาวินทำเลยสักนิด
คงเป็นเพราะว่าเธอแอบชอบเขามาตลอด ชอบตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกับเขาจนถึงตอนนี้ก็สองปีแล้ว...